เมื่อวันที่ 15 ต.ค. นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วัณโรคเทียม (NTM) ไม่ใช่วัณโรค (TB) เป็นโรคติดเชื้ออีกชนิดหนึ่งที่ไม่ติดต่อจากคนสู่คน เกิดจากเชื้อ Nontuberculous mycobacteria ซึ่งเป็นเชื้อคนละชนิดกับที่ทำให้เกิดวัณโรคในคน (Mycobacterium tuberculosis : TB) ทั้งนี้ เชื้อวัณโรคเทียม (NTM) เป็นแบคทีเรียที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม กระจายตัวอยู่ในธรรมชาติทั้งในดินและน้ำ มีมากกว่า 140 สายพันธุ์ การติดเชื้อวัณโรคเทียมในคนอาจเกิดได้จากหลายช่องทาง เช่น จากการสูดดมหรือหายใจเอาเชื้อเข้าไป จากการสัมผัสทางบาดแผลที่ผิวหนัง การปลูกต้นไม้ การดื่มน้ำ หรืออาบน้ำที่มีเชื้อ NTM ปะปนอยู่ เป็นต้น เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อวัณโรคเทียมอาจใช้เวลานานกว่าจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อ ดังนั้นผู้ติดเชื้ออาจไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือจากที่ใด

“ในคนปกติ เมื่อหายใจเอาเชื้อวัณโรคเทียมเข้าไป จะไม่ก่อให้เกิดโรค แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่มีโรคปอดอยู่แล้วเท่านั้น จึงจะติดเชื้อและก่อให้เกิดโรคได้ เช่น ผู้ที่มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ผู้สูงอายุ ผู้ที่เคยป่วยเป็นวัณโรค โดยการติดเชื้อนี้จะมีผลต่อการเกิดโรคที่บริเวณปอด ต่อมน้ำเหลือง หรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งผิวหนัง” นพ.ภาณุมาศ กล่าว

นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยวัณโรคเทียมจะมีอาการคล้ายผู้ป่วยวัณโรคเนื่องจากการติดเชื้อส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่ปอด อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้ ไอเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ เสมหะเป็นเลือด เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เหงื่อออกในตอนกลางคืน อ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังพบอาการอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการติดเชื้อ เช่น ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ หรือขาหนีบ ผื่นผิวหนัง ฝี หรือแผลเรื้อรัง เป็นต้น

สำหรับการรักษาให้กินยาปฏิชีวนะ ต้องกินให้ตรงกับเชื้อนั้นๆ จากการวินิจฉัยแยกเชื้อ “การเพาะเชื้อ” และตรวจหา “ความไวต่อยา” เพื่อจะได้รู้ว่าเป็น “เชื้อวัณโรคเทียม” ชนิดไหน การรักษาให้ได้ผลอาจให้ยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิด บางครั้งอาจใช้ยาร่วมกับยารักษาวัณโรคด้วย ระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับเชื้อนั้นๆ

หากสังเกตตัวเองว่ามีอาการเหล่านี้ หรือสงสัยว่าตนเองป่วย ควรรีบไปตรวจด้วยการเอกซเรย์ปอดและการตรวจเสมหะ ณ โรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อเข้าสู่กระบวนการการรักษาตามมาตรฐาน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองวัณโรค โทร. 02 212 2279 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422