สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ว่า กองกำลังชั่วคราวสหประชาชาติในเลบานอน (ยูนิฟิล) ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของเลบานอน ออกแถลงการณ์ว่า รถถังของทหารอิสราเอลยิงโจมตีค่ายของยูนิฟิล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อย 2 นาย และเตือนว่า เป็นการละเมิดมติที่ 1701 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี)

ทั้งนี้ มติที่ 1701 ของยูเอ็นเอสซี ซึ่งยุติสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เมื่อปี 2546 กำหนดว่า ให้มีการประจำการทหารรักษาสันติภาพของยูเอ็น ร่วมกับทหารของเลบานอน ตามแนว “เส้นสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน


ด้านกองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์ ยอมรับว่ามีการยิงปืนบริเวณฐานที่มั่นของยูนิฟิลจริง แต่ให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ปฏิบัติการอยู่บริเวณนั้น และยืนยันว่า มีการแจ้งเตือนให้ทหารรักษาสันติภาพหาที่กำบังแล้ว


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐออกแถลงการณ์ “มีความวิตกกังวล” เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ซึ่งมีทหารรักษาสันติภาพประจำการในเลบานอนมากที่สุด ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว “เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม”


นายฮารี ปราโบโว เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ยูนิฟิลทั้งสองนายที่ได้รับบาดเจ็บ มาจากอินโดนีเซีย และประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า “เป็นอีกครั้งซึ่งอิสราเอลทำตัวอยู่เหนือกฎหมายระหว่างประเทศ”


เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังยูนิฟิลเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากอิสราเอล เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับปฏิบัติการภาคพื้นดิน “แบบจำกัด” ในเลบานอน และขอให้ยูนิฟิล เคลื่อนย้ายกำลังพลบางส่วนออกจากค่าย และฐานที่มั่นบางแห่ง


อย่างไรก็ตาม ยูนิฟิลยืนยันว่า ทหารทุกนายยังคงประจำการอยู่ ณ ฐานที่ตั้ง และยังคงมีการเชิญธงสหประชาชาติขึ้นสู่ยอดเสาตามปกติ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยูนิฟิลมีแผนการฉุกเฉิน และมาตรการรับมือในยามเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงพร้อมถอนหรือเคลื่อนย้ายกำลังพล “เมื่อเกิดความจำเป็นในระดับสูงสุด”.

เครดิตภาพ : AFP