เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ได้ต้อนรับอัครราชทูตที่ปรึกษาการเกษตร อาหาร และประมง จากสถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก และคณะสื่อมวลชนนักข่าวเกษตรนานาชาติ จาก 13 ประเทศทั่วโลก ที่เดินทางมาเยี่ยมชมฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่แสดงถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งและยาวนานระหว่างประเทศไทย และราชอาณาจักรเดนมาร์ก ในด้านการพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมน้ำนมที่ยั่งยืน

นายสมพร ศรีเมือง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า เพื่อร่วมผลักดันการพัฒนาการเลี้ยง โคนมมาอย่างต่อเนื่องดำเนินงานภายใต้ปณิธานในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย ให้มีความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งจุดซึ่งการต่อยอดการพัฒนาสายพันธุ์โคนมในประเทศไทย ซึ่งจะเป็น ประโยชน์อย่างยิ่งกับเกษตรกรไทย และยังสามารถพัฒนาให้มีนวัตกรรมและมีเทคโนโลยี ที่จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทั้งน้ำนมโค และวิธีการเลี้ยงโคนมให้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้นตามพระราชดำริ ของทั้ง 2 กษัตริย์ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แห่งประเทศไทย และพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าระยะทางระหว่างสองประเทศไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ยาวนานมากว่า 400 ปี และจะยังคงพัฒนาด้านโคนมระหว่างกันสืบไป ดังเช่น การพัฒนาพันธุ์โคนม เทคโนโลยีการเลี้ยงโคนม การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการฟาร์ม และสวัสดิภาพสัตว์ โครงการถ่ายฝากตัวอ่อนสายพันธ์วัวแดง ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา


“การเลี้ยงโคนมเป็นอีกหนึ่งพระราชดำริที่กลายมาเป็นอาชีพที่ช่วยให้เกษตรกรไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีและมั่นคงขึ้น เพราะพระองค์ทรงวางรากฐานการเลี้ยงโคนมไว้อย่างครบวงจร และสนับสนุนให้เกษตรกรไทยได้มีอาชีพการเลี้ยงโคนม จนนับว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพพระราชทานที่เปลี่ยนชีวิตของเกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งการที่พระองค์ทรงสนับสนุนการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยนั้น ที่สำคัญยังเป็นการช่วยให้ประชาชนมีอาชีพที่มั่นคง และเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยมาจนถึงปัจจุบันด้วย” นายสมพร กล่าว

ผอ. อ.ส.ค. กล่าวอีกว่า อ.ส.ค. พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมืออันยาวนานระหว่าง 2 ประเทศด้วยความมุ่งหวังในการพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมไทยให้มีคุณภาพ สร้างความเข้มแข็งในองค์กรโคนมและบูรณาการบริหารจัดการ เน้นการลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ พร้อมพัฒนาในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรโดยมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยให้ยั่งยืน เพื่อให้ได้น้ำนมที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
นายเฮนนิ่ง ฮ้อย นุก่อ (Mr. Henning Hoy Nyaard) อัครราชทูตที่ปรึกษาการเกษตร อาหาร และประมง จากสถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การเยี่ยมชมฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์คในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ความร่วมมืออันยิ่งใหญ่ระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์ก และยังคงเน้นย้ำถึงการพัฒนาทางการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศในอนาคต