เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาญจนบุรี ลงพื้นที่ตรวจค้นอาคารพาณิชย์ต้องสงสัยที่มีการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า เพื่อใช้เป็นจุดทำเหมืองขุดเงินดิจิทัล จำนวน 13 จุด ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ปีละกว่า 100 ล้านบาท

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคำร้องเรียนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ว่า พบการลักลอบตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลโดยเฉพาะบิตคอยน์อย่างผิดกฎหมาย โดยขอให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เป็นเหตุให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบทำการสืบสวน ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีเครือข่ายผู้ลักลอบกระทำความผิด รวมตัวเช่าบ้านและอาคารพาณิชย์กว่า 13 แห่ง กระจายตัวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มีการนำเข้าเครื่องมือจากต่างประเทศ และลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า ส่งผลให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากและกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายค้น เข้าทำการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย สำหรับผลการตรวจค้นพบเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล จำนวน 300 เครื่อง และควบคุมตัวนายกฤษดา (สงวนนามสกุล) ซึ่งรับว่าเป็นเจ้าของและผู้ดูแล (แอดมิน) ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าม่วง เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ด้านนายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) กล่าวว่า การขุดเหมืองบิตคอยน์ดังกล่าวจะใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากขนาดเทียบเท่ากับโรงงานอุตสาหกรรม แต่มีการลักลอบดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อควบคุมการระบุตัวเลขจากมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีจำนวนตัวเลขน้อยกว่าความเป็นจริง และจากการตรวจสอบประวัติการชำระค่าไฟฟ้าบ้านเป้าหมายแรก มีเครื่องขุดเงินดิจิทัล 12 เครื่อง กำลังเครื่องละ 3.6 กิโลวัตต์ พบว่าเครือข่ายดังกล่าว จ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 100-400 บาทต่อเดือน ทั้งที่ค่าไฟจริงเมื่อคำนวณตามกำลังของอุปกรณ์จะประมาณ 150,000 บาท ทำให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สูญเสียรายได้จำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการนำส่งรายได้ต่อรัฐ จึงได้ประสานขอความร่วมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษในการปราบปรามเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า การกระทำผิดในเรื่องนี้ นอกจากเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคไฟฟ้ารายอื่นแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการนำส่งรายได้แผ่นดินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่นำส่งรายได้แผ่นดินเพื่อจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ และเข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และมาตรา 335(1) และอาจมีความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายฐานความผิด ซึ่งหากพบความผิดที่เข้าข่ายความผิด ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติม ก็จะรับเป็นคดีพิเศษ จึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ช่วยกันสังเกตพื้นที่โดยรอบ หากพบสถานที่น่าสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที และสำหรับกรณีที่อาจมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเกี่ยวข้อง กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเร่งดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเพื่อรักษาความปลอดภัยทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป.