เมื่อวันที่ 9 ต.ค. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. กก.สสน. บก.ป. และ บก.ปอท. ร่วมกันแถลงเปิดยุทธการระเบิดสะพานโจร โดยจับกุม 2 ผู้ต้องหาเป็นผู้แทนเครือข่าย (Retailer) ตรวจยึดซิมบ็อกซ์ โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดลงทะเบียนแล้วนับหมื่นชิ้น หลังเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบ 4 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ

พล.ต.ท.ธัชชัย เปิดเผยว่า การตรวจค้นจับกุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตัดวงจรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะมาหลอกลวงคนไทย โดยจากการตรวจค้นสามารถยึดซิมบ็อกซ์ 100 เครื่อง พร้อมเบอร์โทรศัพท์จำนวน 20,000 หมายเลข ซึ่งในการโทรหนึ่งครั้งสามารถโทรออกได้ประมาณ 3,000 หมายเลขต่อครั้ง

“สำหรับวิธีการของคนร้ายก็ยังเป็นในรูปแบบเดิม โดยจะอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และจะมีการหลีกเลี่ยงเบอร์ที่โทรมาในต่างประเทศ เช่น +67 +68 ซึ่งจะมีการตั้งฐานในประเทศไทยเมื่อโทรไปหาผู้เสียหายเบอร์โทรศัพท์จะขึ้นเป็นเบอร์ประเทศไทย (+66) ทำให้ผู้เสียหายไม่ลังเลที่จะรับสายโทรศัพท์ ทั้งนี้หากมีการปิดซิมหรือซิมหมดอายุ ก็จะสามารถเปลี่ยนหมายเลขใหม่เข้ามาเพื่อเอาไปหลอกลวงในครั้งถัดไป”

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า หลังจากนี้ก็จะมีการหารือกับทางกสทช. ถึงมาตรการในการลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนมากกว่า 5 ซิม และจะมีการขยายผลขบวนการนี้ต่อไป รวมถึงจะมีการตรวจสอบคนรับลงทะเบียนซิมด้วย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า วันนี้มีการเข้าตรวจค้นทั้งหมด 4 จุด การที่พบซิมการ์ด และอุปกรณ์มือถือจำนวนมากครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำลายวงจรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ เนื่องจากหลักฐานที่ยึดมานั้นมีจำนวนมาก แต่เชื่อว่าในขบวนการนี้ยังมีตัวบงการ หลังจากนี้ก็จะมีการขยายผลต่อไป

จากการสอบสวนชายไทยอายุ 68 ปี รับว่าเป็นเจ้าของบ้าน เดิมก่อนหน้านี้ประกอบอาชีพเป็นคนขายซิมโทรศัพท์มาก่อนจึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเบอร์โทรศัพท์ ได้ประกอบอาชีพนี้มาประมาณ 5 ปี โดยซิมที่ได้มาจะนำมาจดทะเบียนเป็นชื่อตัวเอง กว่า 10,000 เบอร์ โดยได้รับเป็นผลตอบแทน เบอร์ละ 2 บาท ส่วนซิมที่ได้มา ได้มาจากการรับซื้อจากตัวแทน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่เชื่อว่าชายไทยวัย 68 ปี รับหน้าที่ดูแลระบบ SimBox โดยมีชายชาวจีนเข้ามาดูแลเรื่องระบบ และเซตระบบให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

เบื้องต้นเข้าข่ายความผิด 2 ข้อหา คือความผิดฐาน เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ มาตรา 11 ปรับ 2-5 แสน จำคุก 2-5 ปี และ ร่วมกันทำมีใช้นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม