เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 9 ต.ค. 67 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ  (ฉบับที่…) พ.ศ. …. ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่ สว. แก้ไขเพิ่มเติม และได้ส่งคืนให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณา ตามข้อบังคับการประชุมสภา ข้อ 137 โดย สส. ต้องลงมติว่าจะเห็นด้วยกับ สว. หรือไม่ ภายหลังจากแก้ไขเนื้อหาเสียงการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญให้ยึดหลักเสียงข้างมาก 2 ชั้น จากเดิมที่ใช้เกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียว

โดย สส.พรรคเพื่อไทย และ สส.พรรคประชาชน ต่างอภิปรายคัดค้านเนื้อหาที่วุฒิสภาให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ในการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ คือ 1.ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง 2.การผ่านความเห็นชอบต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง

โดยมองเป็นอุปสรรคต่อการแก้รัฐธรรมนูญ มีความยุ่งยากต่อการใช้บังคับ อาทิ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า สนับสนุนเนื้อหาตามหลักการเดิมที่สภาเห็นความเห็นชอบไปแล้ว พรรคที่กลับไปกลับมาจะเสียหาย ขาดความศรัทธาจากประชาชนในการเลือกตั้ง เรื่องนี้ต้องคุยกันอีกรอบ เจรจากันให้ได้ เสียเวลาก็ช่าง การแก้รัฐธรรมนูญต้องระมัดระวัง เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมาก

ขณะที่ สส.พรรคภูมิใจไทย อภิปรายสนับสนุนเนื้อหาตามที่ สว. แก้ไขมา อาทิ น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สส.ลพบุรี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า มีความจำเป็นต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักการทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด ต้องได้รับความเชื่อถือ ที่ผ่านมาการทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ มีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินร้อยละ 50 

ภายหลังจากที่ สส. ได้อภิปรายจนครบถ้วน ที่ประชุมลงมติเสียงข้างมาก 348 เสียง ไม่เห็นด้วยร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติที่วุฒิสภาส่งคืนมา โดยมีงดออกเสียง 65 เสียง จากนั้นได้ตั้ง กมธ. ร่วม 2 สภา จำนวน 28 คน เป็นสัดส่วน สส. 14 คน และ สว. 14 คน  มาพิจารณาร่วมกันต่อไป.