นายเอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยหลังร่วมประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานชลประทานที่ 1-17 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำและแม่น้ำสายหลักต่างๆ สำหรับเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องและเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ตอนบนของประเทศส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะแม่น้ำปิงที่จังหวัดเชียงใหม่ ฝนที่ตกชุกกระจายทางตอนบนของลุ่มน้ำปิงส่งผลให้เกิดน้ำหลากในลำน้ำสาขาของแม่น้ำปิงก่อนจะไหลลงมาสมทบในแม่น้ำปิงส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นไหลเข้าท่วมพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่และพื้นที่เศรษฐกิจ โดยที่สถานีวัดระดับน้ำ P.1 สะพานนวรัฐ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 5 ต.ค. 67 ระดับน้ำขึ้นสูงสุด 5.30 ม.(รสม.) สูงกว่าระดับตลิ่ง +1.59 ม. ขณะนี้ปริมาณน้ำในแม่น้ำปิงลดลงอย่างต่อเนื่องแล้ว ซึ่งปริมาณน้ำจากลำน้ำปิงจะไหลลงสู่เขื่อนภูมิพลทั้งหมด ทำให้เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มมากขึ้นสำหรับสำรองไว้ใช้ฤดูแล้งหน้าได้อย่างเพียงพอ

ด้านสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 19,650 ล้านลบ.ม. (79% ของความจุอ่างฯรวมกัน) ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 5,221 ล้านลบ.ม. กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานจึงได้บริหารจัดการน้ำที่ไหลมาจากทางตอนบนด้วยการเก็บกักน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำให้ได้มากที่สุดพร้อมบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ตอนกลางด้วยการหน่วงน้ำไว้ในพื้นที่ลุ่มต่ำและแก้มลิงธรรมชาติ ส่วนปริมาณน้ำที่เหลือจะไหลลงสู่ลุ่มเจ้าพระยาที่สถานีวัดระดับน้ำ C.2 อ.เมืองจ.นครสวรรค์ คาดการณ์ว่าในช่วง 1-7 วันข้างหน้าที่สถานีวัดน้ำ C.2 จ.นครสวรรค์จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านประมาณ 2,200-2,500 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้นตามไปด้วยซึ่งกรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาตามศักยภาพของคลองและสอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่พร้อมควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 2,400 ลบ.ม./วินาที ในช่วงนี้เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนให้ได้มากที่สุด ซึ่งการระบายน้ำในอัตราดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่สถานีวัดน้ำ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ย 1,990 ลบ.ม/วินาทีหรือคิดเป็น 70% ของความจุลำน้ำซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวยังไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่อาจจะมีผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำหรือในพื้นที่ที่มีระดับตลิ่งต่ำในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง  อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลที่อยู่ในแนวคันกั้นน้ำ กรมชลประทานได้ติดตามสถานการณ์น้ำฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด  พร้อมเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำด้วยการพร่องน้ำในคลองสาขาต่างๆ ตลอดจนบูรณาการร่วมกับกรุงเทพมหานครในการบริหารจัดการน้ำในจุดที่เชื่อมต่อกันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด

ทั้งนี้กรมชลประทานได้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำท่าอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง พร้อมนำข้อมูลการคาดการณ์ปริมาณฝนและปริมาณน้ำท่าจากสถานีวัดน้ำท่ามาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและสอดคล้องกับสถานการณ์ มีการจัดจราจรน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด กำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เครื่องจักรสนับสนุนอื่นๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยงที่พร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนบูรณาการร่วมกับจังหวัด องค์กรปกครองท้องถิ่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด