เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายหลังเข้ารับการทำคลอดด้วยการผ่าตัดคลอด ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง แล้วต่อมาทารกเสียชีวิต โดยมีการนำโลงศพมาที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข  ดังนี้ 1. ขอทราบสาเหตุการเสียชีวิต 2. ขอให้ตรวจสอบแพทย์ผู้ทำคลอดว่าปฏิบัติตามระเบียบการรักษาพยาบาลหรือไม่ 3. ขอให้ตรวจสอบเวชระเบียนว่ามีการแก้ไขเอกสารหรือไม่ 4. ขอทราบผลการพิสูจน์อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาพยาบาล 5. ขอให้มีการเยียวยาตามมาตรา 41 แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีนายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับเรื่องแทน

นายกองตรี ดร.ธนกฤต กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องร้องเรียนและมีการพูดคุยกัน เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจผู้เสียหายและต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป โดยจะส่งให้กับแพทยสภา และกรมการแพทย์ดำเนินการตรวจสอบว่า การทำคลอดในกรณีนี้เป็นไปตามหลักทางวิชาการหรือไม่ นอกจากนี้ วันนี้ (7 ต.ค.) ตนก็จะลงพื้นที่จังหวัดระยองเพื่อตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงจากทางโรงพยาบาลที่รับทำคลอดด้วย

นายเอกภพ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าทั้งแพทย์ และพยาบาลต่างไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาคำตอบว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คุณแม่ไม่สามารถมีลูกได้อีก เพราะมีการผ่าคลอดมาท้องที่ 3 แล้ว คนที่ 3 นี้เกิดจากความตั้งใจที่จะมีลูกแต่กลับมาเสียชีวิต ดังนั้นการพูดคุยทำความเข้าใจกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ทางโรงพยาบาลกลับไม่มีคำตอบให้ บอกแค่ว่าไม่ทราบสาเหตุและกล่าวคำขอโทษ ต่อมามีพยาบาลนำเอกสารมาให้ผู้ป่วยเซ็นว่า ทารกเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อมีการรักษากันอยู่เป็นวันๆ ถือว่าเป็นคำตอบที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พ่อ แม่เด็กทราบ จึงส่งศพไปตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช พบว่า มีลิ่มเลือด หรือเลือดคั่งในสมอง ดังนั้นจึงมาร้องเรียนเพื่อให้มีการเยียวยา และหาความจริงถึงสาเหตุการเสียชีวิตเพราะเด็กมีรอยช้ำที่ใบหน้าด้วย

พญ.จุฑาสินี สัมมานันท์ สูตินรีแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูลจากการบอกเล่าของครอบครัว และใบชันสูตรพลิกศพจากสถาบันนิติเวช พบว่าทารกมีเลือดออกในสมอง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ส่วนจะเชื่อมโยงกับการทำคลอดหรือไม่ ต้องมีการตรวจต่อไป อย่างไรก็ตาม ตามหลักวิชาการกรณีคลอด หากเป็นการคลอดธรรมชาติ จะกำหนดที่อายุครรภ์ 40 สัปดาห์ ส่วนการผ่าคลอด จะกำหนดที่อายุครรภ์ 38 สัปดาห์ ซึ่งการผ่าคลอดที่อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ ถือเป็นการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายอยู่ ทางแพทย์ต้องแจ้งให้กับผู้ป่วยและครอบครัวทราบถึงความเสี่ยง อาทิ เส้นเลือดมีความเปราะบาง แตกง่าย ส่วนใหญ่จะทำให้มีเลือดออกในสมอง ปอด รวมถึงภาวะลำไส้ยังไม่สมบูรณ์ อาจทำให้เกิดการอักเสบและเสียชีวิตได้

ขณะที่ผู้เสียหายหญิง กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตนเสียใจมาก เพราะตอนผ่าออกมาก็สมบูรณ์ดี หัวคิ้วมีรอยเครื่องมือแพทย์ และมีแก้มช้ำ กระทั่งต่อมาลูกเราเสียชีวิต พอสอบถามสาเหตุก็ได้รับเพียงคำตอบว่าไม่ทราบ ต่อมามีพยาบาลนำเอกสารมาให้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน พอตนสอบถามกลับไปว่า “ใช่เหรอ” พยาบาลก็นำเอกสารกลับไป แล้วจากนั้นพอสอบถามสาเหตุของการเสียชีวิตก็ไม่เคยได้รับคำตอบเลย มีแต่คำขอโทษ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนผ่าคลอด ได้คุยกับทีมแพทย์ก่อนหรือไม่ ว่ามีเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดที่ 36 สัปดาห์ ผู้เสียหายกล่าวว่า เนื่องจากตนมีอาการเจ็บท้อง ท้องแข็ง จึงไปที่โรงพยาบาล ตอนแรกแพทย์บอกว่า ยังไม่อยากให้คลอด แต่ขอติดเครื่องมือวัดอาการท้องแข็ง ซึ่งต่อมาแพทย์แจ้งว่าต้องผ่าคลอด โดยไม่ได้บอกว่าเพราะอะไรถึงต้องผ่าคลอด แต่ตนยังไม่อยากคลอดวันนั้น เห็นว่ายังปกติ ลูกในครรภ์ยังดิ้นปกติ แต่สุดท้ายก็เข้ารับการผ่า

ขณะที่ พญ.จุฑาสินี ตอบคำถามนี้ว่า กรณีหญิงตั้งครรภ์มีการเจ็บท้อง มีภาวะท้องแข็ง มีความเสี่ยงที่มดลูกจะแตกได้ แพทย์จะประเมินและทำการผ่าคลอด โดยเฉพาะกรณีหากเป็นคุณแม่ที่ผ่านการตั้งครรภ์และผ่าคลอดมาก่อนจะทำให้ผนังมดลูกบาง เมื่อถามถึงภาวะ เด็กคลอดก่อนกำหนดที่ 36 สัปดาห์ กับความเสี่ยงเส้นเลือดเปราะเลือดออกในสมอง ปอด เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน พญ.จุฑาสินี กล่าวว่า เป็นภาวะที่พบได้ประมาณ 10-20% หากภาวะดังกล่าวเกิดก่อนอายุภรรภ์ 34 สัปดาห์ อาจจะยับยั้งการคลอดได้.