เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สตม. (เมืองทองธานี) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผบช.สตม. พล.ต.ต.ปิยะอนันต์ โตสกุลวงศ์ ผบก.ตม.4 พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม 5 พ.ต.อ.อภิเษก ปิศโน ผกก.ตม.จ.น่าน ร่วมแถลงข่าวผลปฏิบัติการรุกฆาตนักขนคน กวาดล้าง 5 เครือข่าย นำพา ช่วยเหลือ คนต่างด้าวสัญชาติจีนให้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย โยงขบวนการพนันออนไลน์ โรแมนซ์สแกม หรือคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกลวงประชาชนในประเทศไทยและต่างประเทศ

สืบเนื่องมาจากทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมมือกับทางการสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและทางการสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กวาดล้างจับกุมธุรกิจมืด เป็นแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์และโกงเงินออนไลน์ที่คนจีนก่อขึ้นในเมืองเล่าก์ก่าย ซึ่งเป็นเมืองเอกของเขตปกครองพิเศษโกก้าง ทางตอนเหนือของรัฐฉาน และการทลายแหล่งอาชญากรรมโดยเฉพาะ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในบริเวณ “คิงส์โรมัน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทำให้แก๊งมิจฉาชีพชาวจีนต้องหลบหนีย้ายฐานทำงานไปยังที่ใหม่ ซึ่งอยู่ตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน และใช้เส้นทางผ่านประเทศไทยเพื่อออกไปยังฐานใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีกลุ่มขบวนการนำพาช่วยเหลือให้กลุ่มคนจีนลักลอบเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติตามแนวตะเข็บชายแดน จากภาคเหนือทางด้านอ.เชียงแสน จว.เชียงราย ไปยังพื้นที่ชายแดนอ.พบพระ อ.แม่สอด จว.ตาก หรืออาจเข้า-ออก ในพื้นที่ชายแดนด้าน จ.มุกดาหาร, จ.อุบลราชธานี, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว, อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี, ด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี,อ.สะเดา จ.สงขลา, อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เป็นต้น ซึ่งช่วยเหลือคนจีนหลบหนีเข้าเมืองอย่างเป็นขบวนการ แบ่งพื้นที่และแบ่งหน้าที่กันทำครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศไทย

สตม. จึงได้ร่วมกับ บช.ก., บช.ปส., ตชด. และ ภ.1-9 รวมทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคงทำการสกัดกั้น สืบสวนปราบปรามจับกุม ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 ถึงวันที่ 30 ก.ย.2567 เปิด “ปฏิบัติการรุกฆาตนักขนคน” จับกุมเครือข่ายนำพาช่วยเหลือ กลุ่มคนจีนเข้ามาในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย 5 เครือข่ายใหญ่ เครือข่ายนายวีรพล เครือข่ายนายก้าน เครือข่ายนายวงศกร เครือข่ายต๊ก กีฮง และเครือข่ายนาย ต. จับกุมรวมจำนวน 78 คดี ผู้ต้องหาทั้งหมด จำนวน 89 คน, ยึดยานพาหนะได้จำนวน 69 คัน, จับกุมชาวจีนหลบหนีเข้าเมืองได้ จำนวน 287 คน และสามารถสืบสวนขยายผลขออนุมัติหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 20 หมายจับจากการสืบสวนขยายผลพบว่าการกระทำผิดเข้าลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับในความผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำนวน 4 หมายจับ เบื้องต้นพบเงินในบัญชีธนาคารต่าง ๆ หมุนเวียนมากกว่า 600 ล้านบาท

จากการรวบรวมข้อมูลขยายผล พบข้อมูลความเชื่อมโยงทางการติดต่อสื่อสาร/ทางการเงิน ลักษณะทำเป็นขบวนการครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ยังพบพยานหลักฐานเป็นความผิดลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 และศาลอนุมัติหมายจับในความผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำนวน 4 หมายจับ นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมขบวนการที่ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพื่อขออนุมัติหมายจับและนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อดดำเนินการตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

ทั้งนี้ จากการจับกุมผู้ต้องหาระดับสั่งการจาก 5 เครือข่ายใหญ่ ที่มีความเคลื่อนไหวครอบคลุมทั่วประเทศไทย เป็นการทำลายเครือข่ายขบวนการขนคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ที่ต้องการเดินทางผ่านประเทศไทยไปยังฐานทำการใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านอันเป็นการป้องกันยับยั้งขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงผู้คนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี สตม. ยังคงรวบรวมข้อมูลและสืบสวนขยายผลจับกุมปราบปรามขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อไป

พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผบช.สตม. กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงข่าวจับกุม 5 เครือข่ายใหญ่ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมื่อที่มีความเชื่อมโยงต่อกันไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของตัวบุคคล เส้นทางการเงิน สิ่งที่เห็นคือขบวนการขนคนจีนที่ทำผิดกฏหมายในเขตชายแดน ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ ซึ่งไม่ได้เป็ยการหลอกลวงเฉพาะคนไทย แต่เป็นการหลอกลวงคนในหลายประเทศในโลก ซึ่งได้รับการประสานงานจากหลายประเทศ ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดูและในเรื่องการขนส่ง ดูแลขบวนการเข้าออกของคนเราทำงานอย่างมีมาตรฐานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสิ่งเหล่านี้เราจะต้องไปต่อจิ๊กซอและประสานงานกับทุกประเทศเพื่อให้ได้เห็นภาพรวมยืนยันประเทศไทยไม่ได้ปล่อยปะละเลยเรื่องของการใช้พื้นที่ในการขนคน และทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมเหล่านี้ได้ต่อไป