เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่กระทรวงคมนาคม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เพื่อกำหนดมาตรการ และแนวทางป้องกันอุบัติเหตุ กรณีการเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถโดยสารไม่ประจำทางหมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี (รถโดยสารชั้นเดียว ปรับอากาศ) ซึ่งบรรทุกเด็กนักเรียน และครู 45 ราย เดินทางออกจาก จ.อุทัยธานี ว่า ได้สั่งการให้ ขบ. เรียกรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทาง และไม่ประจำทาง ที่ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมด 13,426 คัน แบ่งเป็น รถโดยสารประจำทาง 10,491 คัน และไม่ประจำทาง ประเภท 30 จำนวน 2,935 คัน กลับมารับการตรวจสภาพรถภายใน 60 วัน หากพบว่ารถดังกล่าวไม่ผ่านการตรวจสภาพจะถูกยึดใบอนุญาตผู้ประกอบการทันที

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบการขนส่งรถโดยสารไม่ประจำทาง (30) ทั้งระบบ ได้สั่งการให้ ขบ.ออกกฎหมายบังคับให้ รถประเภท 30 ต้องมีพนักงานขับรถ และเด็กประจำรถ (เด็กท้ายรถ) 1 คน จากเดิมไม่มีกฎหมายบังคับควบคุมว่าต้องมีเด็กท้ายรถเหมือนกับรถโดยสารประจำทาง นอกจากนี้ให้ ขบ.บูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสถานศึกษาทั่วประเทศ กรณีที่ต้องมีการนำรถโดยสารไม่ประจำทางในการทัศนศึกษา โดยก่อนออกรถต้องนำรถเช่าเหมา หรือรถโดยสารไม่ประจำทางให้เจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัด ตรวจสอบความปลอดภัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามเพื่อให้การบริการรถโดยสารไม่ประจำทางมีความปลอดภัย และสร้างความเข้าใจมากขึ้น ขบ.จะออกกฎหมายบังคับพนักงานประจำรถ ต้องได้รับการอบรม และผ่านการทดสอบหลักสูตรการเผชิญเหตุและการช่วยเหลือผู้โดยสาร (Crisis Management) ขณะเดียวกันพนักงานประจำรถ ต้องแนะนำข้อมูลทางออกฉุกเฉิน และอุปกรณ์ช่วยเหลือที่ต้องใช้ในกรณีฉุกเฉินให้ผู้โดยสารรับทราบ เช่นเดียวกับกรณีสายการบินที่แนะนำผู้โดยสารก่อนออกเดินทาง อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ วันนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งต้องยกระดับมาตรฐานทุกมิติ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และฝากถึงผู้ประกอบการขอให้ช่วยตรวจสอบรถ พนักงานขับรถ และผู้ประจำรถ ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีกต่อไป

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดี ขบ. กล่าวว่า ตามปกติ ขบ. จะตรวจสอบสภาพรถ และการตรวจสอบถังแก๊ส CNG  2 ครั้งต่อปี โดยกำหนดให้ในรอบปีภาษี ผู้ประกอบการต้องผ่านการตรวจสภาพจากวิศวกรผู้ดูแล 1 ครั้ง และเมื่อครบสิ้นปีการชำระภาษีรถต้องผ่านการตรวจสภาพรถจาก ขบ. อีก 1 ครั้ง อาทิ รอยรั่วของก๊าซ, อายุการใช้งาน ตลอดจนการตรวจเช็กการเสียดสีของถังแก๊ส

“ในทางปฏิบัติตามมติคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง 3/2568 ระบุว่ารถโดยสารไม่ประจำทาง 30 ไม่มีการกำหนดอายุการใช้งานตัวถังรถ (แชสซี) แต่รถโดยสารประจำทางที่มีระยะทางไม่เกิน 300 กม. กำหนดให้มีอายุการใช้งานของแชสซีรถไม่เกิน 40 ปี, รถโดยสารประจำทางที่มีระยะทางไม่เกิน 300-500 กม.จะกำหนดอายุแชสซี ไม่เกิน 35 ปี, รถโดยสารประจำทางที่มีระยะทางเกิน 500 กม.จะกำหนดอายุแชสซี ไม่เกิน 30 ปี ส่วนรถหมวด 1 ที่วิ่งในเมืองอายุแชสซีไม่เกิน 50 ปี ซึ่งทาง ขบ.จะประชุมในรายละเอียด เพื่อกำหนดกรอบ และมาตรฐานรถโดยสารไม่ประจำทาง 30 ในเรื่องของข้อกำหนด อายุการใช้งานรถ รวมถึงคนรถเพิ่มเติม หากต้องมีการแก้กฎหมายก็จะเร่งดำเนินการ” นายจิรุตม์ กล่าว

ขณะที่นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุดประกอบด้วย สภาวิศวกร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางและมาตรการในการทบทวนมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะทั้งระบบ ทั้งรถตู้ รถทัวร์ รถบัสต่างๆ ซึ่งจะดูทั้งข้อกฎหมาย มาตรฐานรถ และอายุการใช้งานรถโดยสารสาธารณะใหม่.