เมื่อเวลา 11.38 น. วันที่ 2 ต.ค.67 ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กล่าวถึงเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของคณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนต้องประกาศภัยพิบัติ จะพิจารณาเงินเยียวยาอย่างไรว่า เหตุการณ์นี้ เรื่องของการช่วยเหลือตาม พ.ร.บ.อุบัติภัย มีอยู่ ว่าเราจะช่วยเรื่องการทำขวัญ โดยสำนักงานประกันภัย ได้รายงานเบื้องต้นว่า จะมีเงินที่ชดเชยความเสียหายเหล่านี้ อยู่ที่ประมาณ  1 ล้านกว่าบาทต่อราย ตนถามย้ำไปว่าต้องไม่มีเงื่อนไขอะไรอีก เพราะเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย แต่เราต้องเร่งจ่ายเงินเยียวยานี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการว่าเรื่องนี้มีความเสียหายมาก เป็นเรื่องที่มีระดับความรุนแรงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเกณฑ์การเยียวยาจะต้องหาทางที่จะเยียวยาในระดับสูงสุด 

เมื่อถามถึง ตัวเลขอายุการใช้งานรถบัสที่เกิดเหตุ ที่ระบุว่ามีอายุ 54 ปี นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของทางกระทรวงคมนาคม  ส่วนของกระทรวงมหาดไทย ดูในเรื่องของการให้การดูแลครอบครัวการจัดงานให้สมเกียรติ ในการนี้ เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ตนได้รับการแจ้งล่วงหน้ามาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีความห่วงใย และทรงสลดพระทัย ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้แจ้งมาว่าพระองค์ท่านจะรับการจัดการเรื่องงานทั้งหมดไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ จะมีการพระราชทานเพลิงให้กับผู้ที่สูญเสียชีวิตไป โดยกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และตนได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ไปจัดการหน้างานให้สมเกียรติกับผู้วายชนม์ ซึ่งมีทั้งครู และนักเรียน

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีข้อถกเถียงเรื่องของการยกเลิกการทัศนศึกษา  ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พรรคภูมิใจไทย กำกับดูแลอยู่จะทำอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า  ตนได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้ว เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่าการไปทัศนศึกษา มันไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้คือเรื่องมาตรฐานของคนขับรถ มาตรฐานการจัดรูปขบวนในการเดินทาง คุณภาพของรถ อย่างกรณีนี้ เราต้องไปดู เพราะตนเห็นกับตาทำไมรถบัส 1 คัน ถังแก๊สเยอะขนาดนี้นับๆ ดูเป็น 10 ถัง  ซึ่งตนก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยอยู่กรมขนส่ง ก็ต้องไปดูก่อนว่ากฎหมายเขากำหนดไว้อย่างไร มีถังแก๊สตั้งแต่หน้ารถ กลางรถ ท้ายรถ ข้างรถ จะเดินทางอะไรกันกะจะแบบไม่ต้องพักผ่อนกันเลยหรือ

“โดยมองจากสายตา ที่ผมเคยเป็นวิศวกรคุมงานมาก่อน มองว่าควรจะมีแผ่นเหล็ก ที่คอยกั้นไม่ให้ประกายไฟถึงตัว คือจะต้องเซฟตี้มากกว่านี้ เป็นพื้นที่นิรภัย  ผมมั่นใจว่ามาตรฐานของกรมขนส่งทางบกของเรามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่ารถคันนี้ผ่านการตรวจสภาพมาอย่างไร ตำรวจก็คงจะต้องทำหน้าที่การสืบขยายผล แต่ที่เห็นถามว่าปลอดภัยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ปลอดภัยแน่นอน” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง จะขับเคลื่อนเรื่องนี้แก้กฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่  นายอนุทิน  กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นหน้าที่ของทุกคน เราต้องช่วยกันทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดกับลูก หลานของเรา อย่างที่บอกการไปทัศนศึกษาเป็นสิ่งที่ดี ไม่อย่างนั้นเด็กก็อยู่แต่ในห้องเรียน เห็นทุกอย่างจากรูป ไม่เห็นของจริง แต่การจัดรูปแบบทำอย่างไรให้ดีจริงๆ ก็มีกฎอยู่สามารถที่จะประสานขอรถตำรวจนำได้ รถทางหลวงนำได้ ต้องกำหนดเรื่องของความเร็ว เรื่องของผู้ใหญ่ที่อยู่ในรถที่จะสามารถคอยให้การช่วยเหลือเด็กๆ และกำหนดจำนวนคนขับรถ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ก็คือรถ 1 คัน คน 1 คน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีผู้ช่วยคนขับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่รู้จักรถเลย มีแต่ครูกับนักเรียน พอเกิดเหตุการณ์ คนขับก็วิ่งลงมาดูก่อน ไม่มีผู้ช่วยลงมาคอยปลดล็อกเปิดประตูฉุกเฉิน ถีบหน้าต่างเป็นช่องทางฉุกเฉินเลย มันชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามีการละเมิด.