ถือว่าเป็นเรื่องราวที่หลายคนจับตามองถึงความสัมพันธ์ความรักของนักแสดงสาว “กบ พิมลรัตน์“ และ สามีนักธุรกิจหลังถูกโยงไปถึงข่าวลือเจ้าหญิงก.ไก่ สามีมี 2 บ้าน นั้น ล่าสุดสาวกบ ได้เปิดใจกับสื่อมวลชน ถึงประเด็นร้อนพร้อมกับคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับทุกประเด็นที่เกิดขึ้นหลังจบจากการออกรายการคุยแซ่บ SHOW โดยสาวกบได้เผยว่า

“ก็ได้มีการแยกทางกัน ก็เป็นการตัดสินใจของเราเองหลักๆเลยก็เรื่องที่เขาตัดสินใจเดินเส้นทางของเขา จริงๆถ้าเขาเลือกที่จะทำอะไรเราก็จะสนับสนุนเสมอ แต่ว่าตัวเราที่ผ่านมาทั้งหมด8-9ปี เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ถามว่าได้คุยกันไหม ก่อนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเรามีการพูดคุยกัน หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมักจะเป็นฝั่งเขาที่ต่อลองสะมากกว่า เขาพยายามจะยื้อสถานะ ในส่วนเรื่องครอบครัวของเขา ในข่าวคือเราจับได้ว่าเขามีอีกบ้าน จับได้ตอนไหน จริงๆไม่ได้จับได้หรอกค่ะ เขาเปิดสถานะของเขาเอง โดยการให้เพื่อนเขาส่งรูปมาให้ เขาได้พาครอบครัวของเขาไปเจอสังคมของเขา เรื่องเพิ่งเกิด เพราะว่ารูปนี้ที่ส่งมาในเดือนมิถุนายน ถามว่ารู้ว่ามีอีกครอบครัวมานานแค่ไหน คือทราบมาตั้งแต่ก่อนคบแล้วนะว่าเขามีครอบครัว จริงๆเขาก็จีบเรามา3ปี พอปีที่3ก็มาการคุยกัน จริงๆคุยกันมาตลอดในฐานะเพื่อน ผู้ใหญ่ที่เคารพ เขาก็พยายามที่จะจีบแต่ว่าเราก็บอกเก็บไว้เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักดีกว่า สุดท้ายเขาได้มีการมาปลดทุกข์เล่าเรื่องส่วนตัว ว่าเขาอยากมีครอบครัวดีๆ เขาผิดพลาดมาเยอะ ซึ่ง ณ วันที่เขาพูดเราก็คิดว่าเชื่อได้ไหม เราก็รอดูเหตุการณ์หลายๆอย่างประกอบกัน หลังจากที่ตัดสินใจคบกันแล้ว เราคิดว่ามันก็ดูมีความเป็นไปได้ เพราะว่าสามีเป็นคนเรียนเก่งมาก มันก็ต้องมีบ้างที่เขาจะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่วัย30ต้นๆ มันก็ต้องมีบ้างที่ชีวิตเขาผิดพลาดจากครอบครัวแรก แล้วหลังจากนั้นก็อาจจะผิดพลาดมาเรื่อยๆ จากสังคมที่เขาอยู่ แล้วเขาก็บอกว่าอยากจะเริ่มต้นใหม่ แล้วเราก็ได้มองดูตัวเองว่าเรามีคุณสมบัตินั้นไหม เราคิดว่าเราก็มีนะ แต่คือเราก็ไม่ได้ดีอะไรหรอกนะ แต่เราก็คิดว่าเราเป็นคนดีพอ แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์ ถามว่าเราเสียใจไหมทั้งที่เราสำรวจเขาแล้วในตอนนั้น คือมันเป็นคนเชื่อของเรา มันก็เป็นสิ่งที่เขากระทำให้เห็น เราก็เชื่อโดยสนิทใจ ถามว่าเสียใจไหมเราอาจจะดูคนผิด ถามว่าพฤติกรรมเขาก่อนและหลังแต่งต่างไหม คือไม่ต่างค่ะ เขาเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก เราก็เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก แต่ว่าการเป็นตัวของตัวเองเราเป็นคนมีปัญหาในสายตาเขา เราก็ต้องปรับทุกอย่างเพื่อให้พี่เขาพอใจ แล้วก็พยายามเข้าใจอย่างมากว่าด้วยวัยที่ต่างกัน และด้วยพื้นเพครอบครัวที่ต่างกัน เขาคนจีนโบราณเราคนไทยโบราณ บางทีก็มีความคิดที่แตกต่างกัน ก็พยายามทำความเข้าใจในธรรมชาติของเขาทุกอย่าง และในสิ่งที่เขาห้ามมันอาจจะรู้สึกว่า มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่ว่าเขาคือคนที่เรารักถ้าเราจะทำให้เขามันก็คงไม่เป็นอะไร ทำให้เขาสบายใจและทำให้เราไม่ต้องมีปัญหากัน”

“ถามว่าตอนที่เราทราบเรื่องถามว่าเจ็บช้ำไหม คือมันก็ได้เห็นคน ถามว่าอึดอัดไหม เพราะว่ามีการให้ออกจากวงการด้วย ไม่ให้คบเพื่อนด้วย มันก็มีค่ะ คือเราเปลี่ยนเพื่อเขาทุกอย่าง อยากแรกคือเรื่องในวงการไม่ให้ทำงานไม่ชอบ รู้สึกว่าพอเราไปทำแล้วกลับมามีปัญหาชอบถกเถียงกับเขา อีกเรื่องคือเรื่องเพื่อน เขาไม่ให้คบบอกกับเราว่าเพื่อนไม่มีใครหวังดี ให้มาคบกับเพื่อนเขา แล้วเขาก็ไม่ชอบสังคมในวงการ ไม่ชอบให้ออกงานคือเขาไม่ชอบอะไรเลย เราก็คิดว่าเขาคงชอบอยู่กับเรา และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เราไม่รับงานในวงการและหายไปเลย อีกอย่างพี่เขาเป็นคนสมถะ ซึ่งเราก็ชื่นชมเราไม่ได้ติดอะไรตรงนี้ แต่มันก็จะมีความขัดแย้งและขัดใจบ้างเพราะเราโตมาไม่เหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างเขาควรจะอยู่ตรงกลางบ้างเพราะเราไม่ได้โตมาเหมือนกัน ถ้าอยู่ตรงกลางได้มันจะดี สิ่งนี้ทำให้เราค่อนข้างจะอึดอัด คือมันเป็นความคิดที่ต่างกันจริงๆ ของพวกนี้ว่าเขาก็ไม่ผิด แต่ถ้ามันอยู่ตรงกลางได้เราก็คิดว่าจะดี ซึ่งส่วนใหญ่เราก็จะตามเขามากกว่า มีการปรับช่วงแรกๆ แต่มันก็จะมีขัดแย้งกันบ้าง พักหลังมันก็ดีขึ้น แต่ตอนนี้มันกลับไปอยู่จุดเดิม ในเรื่องของการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจมันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่พอรับได้บ้าง แต่ที่ทนไม่ได้เลยคือชอบบอกเลิก ซึ่งวัย60ไม่ควรมีแล้ว แต่เราก็พยายามเข้าใจว่าแต่ละคนมีปมในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน พยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุด ก็พยายามขอร้องให้เขาไม่พูดได้ไหมเพราะเวลาเขาพูดมันทำให้เรารู้สึกว่าเขาจะไม่รักเรา เราก็สงสัยในตัวเองหรือว่าเราดีไม่พอถึงบอกเลิกได้ตลอดเวลา”

กบ เล่าต่อว่า “ส่วนในเรื่องการย้ายออกจากบ้าน คือเขาเป็นคนบอกให้เราให้ขนของออกจากบ้าน พักหลังเขาบอกเลิกรายเดือนแบบไม่มีสาเหตุ ซึ่งเขาไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็น ในเรื่องช้อปปิ้ง ทานร้านอาหาร อยู่โรงแรม เขาก็มีการไม่สบอารมณ์ เขาก็มีการพูดว่าเลิกกันได้ไหม ให้เรายกของออกจากบ้านเลย เดี๋ยวจะให้เลขามาเอา ซึ่งคิดว่ามันเป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้วสำหรับเรา สำหรับเขาเราก็ไม่รู้ว่าเป็นการพูดปกติ หรือมีนัยยะอะไร เราก็ไม่ทราบ ทุกอย่างเกิดขึ้นมานานเป็นเวลา 9 ปี ถามว่าอะไรมันทำให้เรายอมได้ขนาดนี้ เราคิดว่าความรักมันน่ากลัว และไม่คิดว่าเราจะรักเขาได้มากถึงขนาดนี้ ซึ่งเราแลกด้วยการตัดสินใจในการอยู่กับเขาและมาเป็นครอบครัวเดียวกับเขา ไม่ใช่อยู่ไม่ดีนะ คือเราก็ได้รับความอบอุ่น ความเอาใจใส่ เขาเป็นคนที่น่ารัก ซึ่งเราทั้งคู่อายุห่างกัน 19 ปี และสิ่งที่พูดมาคืออุปสรรคและปัญหาทั้งหมดเลย พอหลังจากที่เรายกของออกมา ก็ได้บอกเขาว่าให้มาคุยกับครอบครัวทางบ้านเรา แต่ว่าเขาไม่มา แต่ส่งเลขามาต่อลอง ในส่วนเรื่องที่เขาไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับเราทั้งที่แต่งมา9ปี เราไม่อยากใช้คำพูดที่ไม่ดี เอาเป็นว่าให้พิจารณาตามที่เห็นแล้วกัน ตอนนี้ขั้นตอนทางกฎหมายอยู่ในขั้นตอนที่ฟ้อง ในข้อหาผิดคำสัญญาหมั้น และอีกกรณีนึงก็คือส่งสินสอดให้คุณแม่ไม่ครบ ขอไม่พูแล้วกันว่าจำนวนเท่าไร แต่มีการส่งมาเงินมาแล้วครึ่งนึง ในระหว่างที่คบกัน เราก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกต้องและรู้สึกว่าเหมือนเอาเปรียบ แต่เราก็เชื่อในตัวเขา”

“เรื่องรักเรา ตลอด 9 ปี จริงๆ คุณแม่ไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่แรก เราเป็นคนดื้อเอง และด้วยความที่เราโตแล้วเขาก็ปล่อย และด้วยความรักมันหอมหวานมันเป็นสิ่งที่แม่ไม่ได้สัมผัสอยู่แล้วเขาก็ปล่อย แต่พอเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะ สิ่งที่ผิดพลาดในการใช้ชีวิตมันน่ากลัวมันเสี่ยงต่อการที่เรามองโลกในแง่ดี และคนเรามีโอกาสผิดพลาดได้ สิ่งที่กังวลใจที่สุดในตอนนี้สำหรับเขาคงจบแล้ว แต่สิ่งที่กังวลตอนนี้เป็นเรื่องคดี ส่วนเรื่องความปลอดภัยก่อนหน้านี้ยอมรับว่ามี แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว เพราะว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเราให้เกียรติในการตัดสินใจของเขาแต่ไม่ยอมปกป้องตัวเอง ในตอนนี้เราไม่มีอะไรจะพูดกับเขาอีกแล้ว พอยิ่งมาเห็นรูปที่เพื่อนเขาส่งมาคือไม่มีคำพูดอะไรแล้ว บทเรียนครั้งนี้ทำให้เราได้เติบโตขึ้น ทำให้รู้สึกผิดเป็นครู จริงๆไม่ได้อยากสงสารอะไรตัวเองมาก มันมีคนที่แน่กว่าเราเยอะ เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งที่สอนเราในวันข้างหน้าว่าควรจะรักตัวเองมากกว่ารักคนอื่น ถ้าจะรักก็รักให้ถูกคน เพราะว่าเราขนาดเป็นคนคิดเยอะและไตร่ตรองเยอะแล้วมันก็ยังมีผิดพลาดได้เลย หลังจากนี้ก็จะกลับรับงานในวงการ เหมือนได้ชีวิตตัวเองกลับมา และก็หมดพันธะจากทุกๆ อย่าง ซึ่งเรื่องพวกนี้ทำให้เราเป็นซึมเศร้าค่ะ คือในระหว่างที่คบกัน สิ่งที่เราเป็นเราก็เป็นคนรุ่นใหม่ก็มีความมั่นใจชอบทำงาน เป็นคนรักในตัวเอง ชอบที่จะเป็นตัวเอง แต่ว่าสิ่งที่เราเป็นมันผิดหมดเลย มันไม่ดีสักอย่าง มันทำให้เราเป็นทุกข์ มันก็ทำให้เราสงสับในตัวเองและทุกครั้งที่มีการคุยกันในสิ่งที่ไม่เข้าใจเอมันถึงเวลาที่ต้องมีคำตอบ แต่เขาไม่ได้ให้คำตอบเขาก็จะผลักไสให้ไปพบจิตแพทย์ ให้เราไปหาคำตอบตรงนั้น เขาบอกว่าเราไม่ปกติ มากๆเขาเราก็สงสัยก็เลยไปพบแพทย์ พอคุณกับคุณหมอคุณหมอก็เลยทราบปัญหาเขาก็หาทางออก แต่ทางออกดันขัดแย้งกับสามี สามีก็เลยบอกว่าไม่ต้องไปเดี๋ยวเขารักษาเอง”

ตอนนี้ถามว่สภาพจิตใจเป็นอย่างไรก็ดีขึ้นค่ะ การใช้ชีวิตดำเนินชีวิตดีขึ้น เพราะเรามีอิสระมากขึ้น และวันนี้ก็ไม่ต้องมีใครมาตัดสินเราว่าเราผิด และตอนนี้ก็เหมือนได้เจอตัวเองในอีกพาร์ตนึงสำหรับการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ ก็ลองทำแต่งหน้าในช่วงโควิด ซึ่งในช่วงที่ทำอยู่ก็กลัวว่าเขาจะมีปัญหา เพราะว่าเขาก็จะมาคอยกำกับว่าเขาไม่ชอบอะไรไม่ให้ทำอะไร ในตอนนี้ส่วนนี้ก็มีอิสระมากขึ้น ทำอะไรได้เต็มที่มากขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ผิด ในส่วนกำลังใจที่ได้จากแฟนคลับ จริงๆก็มีการพูดคุยในไอจีอยู่เรื่อยๆ จากที่เป็นแฟนละครเรา ทุกคนก็มาติดตามเกี่ยวกับบิวตี้แต่งหน้า เราคุยในเรื่องเดียวกันชอบเหมือนกันกับแฟนคลับ ก็เป็นมสิ่งที่คุยได้เรื่อยๆ มีความสุขเขาก็ถามกันว่าเมื่อไหร่จะกลับมารับละคร ตอนนี้ทุกคนก็รอดูเรามาเล่นละครค่ะ”