เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ พร้อมด้วยนายเจียงเฟิง เฉิน หรือเคน ชาวจีน เพื่อร้องเรียนให้มีการสอบวินัยรองอธิบดีอัยการรายหนึ่ง กรณีพบหลักฐานว่า มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับ น.ส.ชิสา หรือเอวา ภรรยาชาวไทยของนายเคน โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ

โดย นายษิทรา กล่าวว่า เนื่องจากพบว่า รองอธิบดีอัยการท่านนี้ มีความเกี่ยวข้องในแง่ของความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับอดีตภรรยาตั้งแต่เดือน พ.ค. โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนการหย่ากันในวันที่ 9 ก.ค. มีพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่ทั้งคู่กอดหอมกัน พร้อมทั้งมีพยานบุคคลที่ตนได้พูดคุยและยืนยันว่า มีการวางแผนกันให้ฝ่ายหญิงเลิกกับคุณเคนตั้งแต่ต้น แม้ว่ามีคนรู้จักเคยเตือนอัยการท่านนี้ว่า หญิงคนนี้มีสามีชาวจีนแล้ว แต่ก็ไม่สนใจและยังมีการคบหามีชู้กัน รวมทั้งอัยการท่านนี้ยังได้ให้รถ BMW Z4 สีขาว มาให้ฝ่ายหญิงขับด้วย โดยใช้ชื่อผู้หญิงคนหนึ่งในการซื้อและครอบครองรถคันดังกล่าว แต่เป็นที่รับรู้เป็นการทั่วไปว่าเป็นรถของรองอธิบดีอัยการคนนี้

ตนจึงอยากร้องขอให้อัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการให้ความเป็นธรรมและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความผิด ก็ขอให้ดำเนินการวินัยร้ายแรงด้วยการปลดออกหรือไล่ออกอัยการคนนี้

ทั้งนี้ตนทราบมาว่า อัยการท่านนี้นั้นมีบ้านมากถึง 50 หลัง และเคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเรื่องทุจริตเรียกรับผลประโยชน์มาก่อน ซึ่งตนจะติดตามการดำเนินการทางวินัยของคณะกรรมการอัยการ ทั้งเรื่องคดีที่ถูกชี้มูลทุจริตและประพฤติชู้สาวกับอดีตภรรยาของคุณเคน ซึ่งมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนเป็นทนายความแห่งแผ่นดิน

ทั้งนี้ยังได้ทราบว่า มีทรัพย์สินของคุณเคนรั่วไหลผ่านฝ่ายหญิงไปถึงอัยการท่านนี้หรือไม่ นอกจากวันนี้ที่ตนจะมาร้องให้ดำเนินการทางวินัยอัยการแล้ว ก็จะนำพยานหลักฐานที่อัยการคนนี้ลักลอบเป็นชู้กับเอวา ไปยื่นฟ้องชู้ทั้งสองที่ศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง และจะนำไปเป็นพยานหลักฐานใช้ในคดีที่เอวายักยอกทรัพย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าฝ่ายหญิงมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและจงใจที่จะยักยอกทรัพย์จากนายเคน

เดือดระอุ ‘ทนายตั้ม’ แฉยับ ‘เอวา’ เมียหนุ่มจีน แอบแซ่บคนใหญ่คนโตก่อนหย่าสามี

โดยภายหลังรับมอบหนังสือ นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด, นายณรงค์ ศรีระสันต์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด, นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังจากได้รับการยื่นหนังสือจากนายษิทราแล้ว

ด้านนายประยุทธ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะไม่ปล่อยปละละเลยและแจ้งความคืบหน้าให้ผู้เสียหายทราบ โดยขั้นตอนหลังจากได้รับหนังสือจากนายษิทราแล้ว จะนำเรื่องกราบเรียนไปยังอัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการเพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยต่อไป แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้ระยะเวลานานเท่าไร ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ

ส่วนกรณีที่อัยการรายนี้เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีเรียกรับสินบนชาวจีนที่ใช้พาสปอร์ตปลอม 500,000 บาทนั้น

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า รองอธิบดีอัยการคนดังกล่าว ก่อน ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 คือเป็นคนกลางเรียกรับ หรือยอมจะรับในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ และ พ.ร.บ. ป.ป.ช.ในข้อหารับเงินเกิน 3 พันบาท ซึ่งสำนวนดังกล่าวได้ถูกส่งไปยังสำนักงานอัยการปราบปรามการทุจริตฯ โดยทางอธิบดีอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตพิจารณาแล้ว ไม่เห็นด้วย ในประเด็นข้อหา รับเงินเกิน 3 พันบาท เนื่องจากมองว่า มีข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 อยู่แล้ว จึงมีการชี้ข้อไม่สมบูรณ์ จึงมีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะทำงานอัยการและ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ ผลปรากฏว่าที่ประชุมมติออกมาว่า ทาง ป.ป.ช.เห็นชอบกับทางอัยการตัดข้อหารับเงินเกิน 3 พันบาทออกไปคงเหลือแต่ข้อหา เป็นคนกลางเรียกรับเงินตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 ซึ่งทางอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตมีความเห็นควรสั่งฟ้องคดีแล้วขั้นตอนอยู่ระหว่างเรียนอัยการสูงสุด เหลือเพียงอัยการสูงสุดมีคำสั่ง ถ้า อสส. สั่งฟ้องก็จะต้องนำตัวมายื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ อันนี้ถือเป็นความคืบหน้าทางคดีอาญา

นายนาเคนทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงขั้นตอนวินัยในคดีรองอธิบดีอัยการเรียกรับเงิน จากการตรวจสอบ ล่าสุดพบว่า มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเบื้องต้นอยู่ระหว่างสอบสวนอยู่ ซึ่งต้องรอผลสอบสวนวินัยชั้นต้นก่อน ถึงจะพิจารณาเป็นสอบสวนวินัยร้ายแรงได้

นายณรงค์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงประเด็นที่ทนายตั้มยื่นร้องในวันนี้ว่า ประเด็นในวันนี้จะไม่ถูกนำไปรวมกับเรื่องวินัยที่รองอธิบดีอัยการถูกชี้มูลเรื่องเรียกรับสินบน เพราะเป็นคนละส่วนกัน

ส่วนประเด็นที่ขั้นตอนทางอาญาไปไวกว่า ป.ป.ช.ชี้มูลแต่ในขั้นตอนวินัยยังไม่มีการสั่งพักราชการอัยการท่านนี้ในระหว่างการถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนั้น

นายประยุทธ กล่าวว่า เนื่องจากกฎหมายอัยการ จะต้องตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือกรรมการชั้นต้น ก่อนที่จะมีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการสอบสวนของกรรมการชั้นต้น โดยกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจให้ถูกพักราชการในชั้นนี้ แต่ทางอัยการสูงสุดคนปัจจุบันได้เสนอว่ากรณีความผิดชัดแจ้งไม่จำเป็นต้องสอบวินัยชั้นต้นให้สอบวินัยร้ายแรงได้เลย ตรงนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ทางอัยการสูงสุดเห็นสภาพปัญหา แต่ถ้าหากรองอธิบดีอัยการคนดังกล่าวถูกอสส.สั่งฟ้อง ต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อไหร่ ก็จะถือว่าเป็นมูลที่จะถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่จะสามารถถูกสั่งพักราชการได้ทันที ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป ส่วนจะยื่นฟ้องทันในยุคอัยการสูงสุดคนปัจจุบันหรือไม่ ตนไม่ขอให้ความเห็น.