เมื่อเวลา 14.50 น. วันที่ 24 ก.ย. 67  ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการยุทธศาสตร์พรรค  แถลงหลังประชุมพรรคถึง “โครงการดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาล ว่า พรรคได้ติดตามการทำงานของรัฐบาล และรวบรวมความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงที่ผ่านมา มองว่าโครงการนี้สะท้อนกระบวนการทางความคิดของรัฐบาล ว่ายังไม่ครบ 360 องศา ทำงานแบบคิดไปทำไป แก้ไขปัญหาประจำวัน ส่งผลประชาชนทั่วประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น กรอบเวลาการดำเนินงาน ในช่วงที่พรรคเพื่อไทย หาเสียงระบุว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินโครงการทันที แต่ท้ายที่สุดมีการปรับเลื่อนมาตลอด และแหล่งที่มาของเงินดำเนินโครงการ ตอนหาเสียงแจ้งว่าไม่กู้ แต่จะใช้งบประมาณแผ่นดิน และเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาหลายครั้ง สุดท้ายเป็นเงินงบประมาณปี 2567 และ 2568 สร้างความสับสนให้กับประชาชน และวงเงิน 122,000 ล้านบาท มีประเด็นที่น่าเป็นห่วงคืองบประมาณปี 2567 ต้องสั่งจ่ายภายในเดือน ก.ย. 67 ห้ามใช้ข้ามปี จึงเป็นเหตุผลว่าเฟสหนึ่ง ต้องเร่งจ่ายเป็นเงินสดให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนก่อน 

“ตอนหาเสียงจะแจก 50 ล้านคน เป็นรัฐบาลปรับลดลงเหลือ 36 ล้านคน  ที่ลงทะเบียน ส่วนรูปแบบการแจกระบุเป็นเงินดิจิทัล สวยหรูดูดี แต่กลับแจกเป็นเงินสดเพียง 14.5 ล้านคน มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต แต่ผลลัพธ์การทำงาน ในเดือน ส.ค. 67 มีการประมูลจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการชำระเงิน แต่ไม่มีผู้เสนอเข้าร่วมจัดซื้อจัดจ้างทำการประมูลล้ม”

นายชาญกฤช กล่าวว่า ขอตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่า เหตุใดรัฐบาลจึงต้องประชาสัมพันธ์อย่างเร่งรัดกระชั้นชิดให้กลุ่มเปราะบาง เร่งไปผูกพร้อมเพย์กับธนาคารพาณิชย์ โดยไม่เผื่อเวลาให้ผู้มีส่วนได้เสียมีเวลาดำเนินการ ซึ่งถือเป็นข้อบกพร่องในการประชาสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง ส่วนประชาชนในกลุ่มเปราะบาง จำนวน 14.5 ล้านคน ที่มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ยังมีอีก 2 ล้านคนที่ยังยืนยันตัวตนผ่านระบบ KYC ไม่สำเร็จ ต้องขอความอนุเคราะห์รัฐบาลโปรดให้ความช่วยเหลือ ให้เข้าแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อให้ยืนยันตัวตนให้ครบสามารถรับสิทธิรับเงินสด 10,000 บาท ต่อไป

นายชาญกฤช   กล่าวว่า ส่วนการแจกเงินเฟส 2 ที่มีการตั้งคำถามว่าเฟส 2 มีจริงหรือไม่ จะได้รับเงินจริงหรือไม่ จะได้รับครบ 10,000 บาทหรือไม่ หรือต้องแบ่งจ่ายเป็นกี่งวด รัฐบาลยังไม่ชี้แจงหรือประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชน ในเฟส 2 จำนวน 22 ล้านคนให้เข้าใจอย่างกระจ่างชัด และยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้ ทั้งนี้งบประมาณปี 68 จึงขอเสนอแนวทางว่าหากต้องจ่าย 10,000 บาทรวดเดียว ให้กับประชาชน 22 ล้านคน ให้ไปขอเจียดงบประมาณจากกระทรวงต่างๆ มา 4 หมื่นล้าน แล้วสามารถจะเร่งจ่ายในเฟส 2 ให้เสร็จภายในปีนี้ หรือแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดละ 5,000 บาท งวดแรกรีบจ่ายได้เลย เพราะมีเงินสำรองไว้อยู่แล้ว ส่วนงวด 2 ไปพิจารณาในงบประมาณปี 69 หากยังไม่พอ ก็ตั้งงบประมาณเพิ่มเติมในปี 69 ดังนั้นใน ต.ค. ปี 68 ถือว่าจ่ายครบหมดแล้ว ขอเตือนรัฐบาลว่าต้องรับผิดชอบไม่ปล่อยให้ประชาชนเฟส 2 มีความหวังอย่างเลื่อนลอย และไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังไปมากกว่านี้ เพราะได้รับเงินล่าช้า นอกจากนั้นรัฐบาลควรเร่งประสานความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการขออนุญาตเงินดิจิทัลให้เป็นไปตามกฎหมายเงินตราของประเทศ และสร้างความปลอดภัยทางเทคนิค ที่ต้องทำให้แอปเชื่อมกับธนาคารต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจสูงสุดได้ว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหล.