หลังคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) โดยภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน จำนวนประมาณ 14.55 ล้านราย แบ่งเป็น 1) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 12.40 ล้านราย และ 2) คนพิการ จำนวนประมาณ 2.15 ล้านราย จึงขอประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ดังนี้

1. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ทำการยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 และคนพิการที่ได้รับเบี้ยความพิการ 800 บาท อยู่แล้ว ตามฐานข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จะได้รับสิทธิในโครงการฯ โดยไม่ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ อีก

2. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการจะได้รับเงิน 10,000 บาท ผ่านช่องทาง ดังต่อไปนี้

2.1 ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับเงินผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่

2.1.1 บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน

2.1.2 ยกเว้นกรณีผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่สามารถผูกพร้อมเพย์ได้จะโอนเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือ ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง

ทั้งนี้ คนพิการที่บัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ หรือมีบัตรประจำตัวคนพิการแบบเก่า (แบบเล่ม) โดยยังไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนมีบัตรแบบใหม่ แต่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จะถูกรวมในกลุ่มนี้และได้รับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน

2.2 คนพิการ จะได้รับเงินผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่

2.2.1 ช่องทางที่ได้รับเงินเบี้ยความพิการอยู่ในปัจจุบัน (ทั้งที่รับเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารหรือที่รับเงินสดจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)

2.2.2 กรณีคนพิการไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ 2.2.1 จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการ

3. กรณีคนพิการที่บัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ หรือผู้ได้รับเงินเบี้ยความพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการ จะต้องต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการหรือทำบัตรประจำตัวคนพิการให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะได้รับโอนเงินตามโครงการฯ อย่างไรก็ดี ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 มิฉะนั้นจะถือว่าไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ

4. การผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน สามารถผูกบัญชีกับธนาคารใดก็ได้ที่มีบัญชีเงินฝาก โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นธนาคารของรัฐ ทั้งนี้ ต้องดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 มิฉะนั้นจะถือว่าไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ

5. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ควรตรวจสอบบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนหรือบัญชีเงินฝากธนาคารให้มีสถานะปกติ (Active) เพื่อพร้อมรับเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

6. ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่

  • รอบจ่ายซ้ำ ครั้งที่ 1 จ่ายวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการ ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน ภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2567
  • รอบจ่ายซ้ำ ครั้งที่ 2 จ่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการ ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน ภายในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567
  • รอบจ่ายซ้ำ ครั้งที่ 3 จ่ายวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรประจำตัว คนพิการ ภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน ภายในวันที่ 16 ธันวาคม 2567

ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ

โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำในหลักที่ว่า คนพิการที่ได้รับเงินเบี้ยความพิการอยู่แล้วในปัจจุบัน ไม่ว่าจะได้รับเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารหรือรับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้รับเงิน 10,000 บาท ผ่านช่องทางที่ได้รับเงินเบี้ยความพิการอยู่เดิม

ในขณะที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องมีบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน โดยมีช่องทางตรวจสอบการมีอยู่หรือผูกบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนได้หลายช่องทาง เช่น ผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร เป็นต้น

อย่างไรก็ดี หากเป็นผู้พิการบางกลุ่มที่มีสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว ภายใน 31 สิงหาคม 2567 ขอให้ตรวจสอบเพิ่มว่า บัตรประจำตัวคนพิการของตนหมดอายุหรือไม่ หรือเป็นผู้มีบัตรประจำตัวคนพิการแบบเก่า (แบบเล่ม) ที่ยังไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนเพื่อมีบัตรแบบใหม่กับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยหากเป็นกลุ่มดังกล่าวนี้ จะโอนเงิน 10,000 บาท ให้ตามสิทธิของกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะต้องมีบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนด้วย ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า กลุ่มดังกล่าวนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย