สำหรับเส้นทางการเมืองของทรูโด เขาเป็นบุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีปิแอร์ ทรูโด และขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยม เมื่อเดือน ต.ค. 2556 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรคตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากหมดอำนาจมานานกว่า 7 ปี และกลายเป็นพรรคการเมืองอันดับสามในสภาสามัญของแคนาดาเป็นครั้งแรก ในปี 2554

สองปีหลังจากนั้น พรรคเสรีนิยมของทรูโด ซึ่งรณรงค์ข้อความของการเปลี่ยนแปลงและความหวัง สามารถเอาชนะพรรคอนุรักษนิยม และคว้าที่นั่งส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเดือน ต.ค. 2558 นับเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองอันดับสามในสภาสามัญ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งของแคนาดา

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการจริยธรรมของแคนาดา มีคำตัดสินเมื่อเดือน ธ.ค. 2560 ว่าทรูโดฝ่าฝืนกฎระเบียบเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน จากการรับวันหยุด, ของขวัญ และเที่ยวบินจากอากา ข่าน ในปี 2559 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการพบว่า นายกรัฐมนตรีแคนาดา กระทำการละเมิดกฎหมายดังกล่าว

ต่อมาในเดือน ก.พ. 2562 นางโจดี วิลสัน-เรย์โบลด์ อดีตรมว.ยุติธรรมแคนาดา กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่หลายคนในรัฐบาลออตตาวา กดดันให้เธอช่วยเหลือบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง หลีกเลี่ยงการพิจารณาคดีคอร์รัปชัน ซึ่งเหตุการณ์ข้างต้นทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 คน ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาสูญเสียความไว้วางใจในทรูโด

หลังคณะกรรมการจริยธรรมตัดสินเมื่อเดือน ส.ค. ในปีเดียวกันว่า ทรูโดและเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหา ละเมิดกฎระเบียบด้านจริยธรรม ผู้นำแคนาดาก็แสดงความรับผิดชอบ แต่ปฏิเสธที่จะขอโทษ

ในเดือนถัดมา ทรูโดต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการแต่งหน้าเป็นคนผิวสี หรือ “แบล็กเฟซ” จนกระทั่งในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2562 พรรคเสรีนิยมกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาสามัญแคนาดา ส่งผลให้รัฐบาลต้องทำข้อตกลงกับฝ่ายค้าน เพื่อบริหารประเทศ

อนึ่ง รัฐบาลออตตาวาเกิดการสั่นคลอนอีกครั้งในเดือน ส.ค. 2563 เมื่อนายบิล มอร์โน รมว.การคลังแคนาดาในเวลานั้น ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความขัดแย้งกับทรูโด เกี่ยวกับจำนวนเงินที่จำเป็นในการช่วยให้แคนาดา ฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19

แม้ทรูโดผลักดันให้มีการเลือกตั้งระดับชาติ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2564 ด้วยความหวังว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะมอบคะแนนเสียงเป็นรางวัลให้แก่รัฐบาลของเขา จากผลงานการจัดการกับการระบาดใหญ่ ทว่าความพยายามดังกล่าวกลับประสบความล้มเหลว และพรรคเสรีนิยม ยังคงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาสามัญเช่นเคย

เมื่อเดือน ก.ค. 2566 ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า พรรคเสรีนิยมมีคะแนนตามหลังพรรคอนุรักษนิยมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 แต่ในเดือน ก.ค. ช่องว่างของคะแนนก็กว้างขึ้นอย่างกะทันหัน และกลายเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า พรรคเสรีนิยมน่าจะเป็นฝ่ายแพ้ ในการเลือกตั้งปี 2568.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP