เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ในการประชุมสภาร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายถึงนโยบายปราบยาเสพติดที่ล้มเหลว ปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ว่า ตนหวังว่า สถานบันเทิงครบวงจรจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย และทั่วโลก หวังว่าจะไม่มีใคร หรือรัฐบาลไหนดำเนินการสร้างสรรค์นรกบนดินแบบที่เกิดขึ้นตามตะเข็บชายแดน แต่นายกฯ ได้กล่าวว่ามีนโยบายที่ 4 เรื่องการเอาเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ภาษี และส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยว หนึ่งในนั้นคือการทำ สถานบันเทิงครบวงจร แต่กลับไม่เอ่ยถึงคำว่ากาสิโนเลย ทั้งๆ ที่หากพิจารณาในร่างพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีการเอ่ยถึง กาสิโน รวมอยู่ด้วย ตนจึงไม่มั่นใจ ถึงแรงจูงใจที่ท่านเลือกที่จะเลี่ยงการพูดถึงกาสิโน ไว้ ณ ที่นี้หมายถึงอะไร แต่นั่นเป็นประเด็นแรกที่ทำให้ตนกังวลใจต่อความโปร่งใสต่อการผลักดันนโยบายนี้

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราคิดตรงกันในการเอาธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินเพื่อให้ รัฐสามารถเก็บภาษีและออกกฎหมายควบคุมได้ และที่นายกฯ คนที่แล้ว ซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่านโยบายสถานบันเทิงครบวงจรจะสามารถแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมายได้ ตนไม่รู้ว่านายกฯ คนปัจจุบันคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร แต่ตนคิดว่าการทำสถานบันเทิงครบวงจรเป็นคนละเรื่องกับการแก้ไขบ่อนการพนันผิดกฎหมายตามชุมชนหรือหัวเมืองต่างๆ มากมาย ดังนั้นถ้านายกฯ จะเอาจริงเอาจังกับสถานบันเทิงครบวงจร และแก้ปัญหาบ่อนการพนันจริงๆ การกำหนดค่าเข้ากาสิโน สำหรับคนไทย 5 พันบาท ไม่น่าจะทำให้รายย่อย โดยคนกลุ่มที่เข้าไปใช้บ่อนผิดกฎหมายอยู่แล้วเข้ามาที่นี่ เพราะเงิน 5 พันบาท เท่ากับค่าตั๋วไปกลับเล่นที่มาก๊าเ หรือสิงคโปร์ก็ได้ ทั้งนี้ ตนเข้าใจว่า การกำหนดหลักการของไทยคล้ายกับที่สิงคโปร์ ทำแต่ต้องวางนโยบายให้ชัดว่าตกลงเราต้องการอะไร ถ้าต้องการแก้ไขปัญหาบ่อนผิดกฎหมาย วิธีการนี้ไม่มีทางสำเร็จ จึงหวังว่ารัฐบาลจะคิดให้ขาดก่อนจะดำเนินนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรอย่าคิดไปทำไปเด็ดขาด

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ข้อสังเกตที่ 3 กาสิโนที่มีความสำเร็จอย่าง Marina Bay ของสิงคโปร์ ต้องยอมรับว่าประเทศเหล่านี้ มีการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ มีปัญหาทุนสีเทา หรือการฟอกเงินจะน้อยกว่าที่อื่น ส่วนรัฐบาลไทยที่คิดสร้างกาสิโน นโยบายแรกที่ต้องทำ คือทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ มีมาตรการป้องกันการฟอกเงิน หากไม่วางแผน ตั้งกฎเกณฑ์ที่ครอบคลุมมากเพียงพอ สถานบันเทิงครบวงจรที่รัฐบาลวาดฝันไว้อาจจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมแห่งใหม่ให้กับอาชญากรข้ามชาติ เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเท่าที่ฟังนายกฯ แถลงเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ก็ยังไม่เห็นเจตจำนงของรัฐบาลในการป้องกันกลุ่มทุนสีเทาเข้ามา ซึ่งเป็นกลุ่มที่หวังมาลงหลักปักฐานในประเทศไทย อย่างก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มทุนหนึ่ง พยายามติดต่อเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองของไทย ในพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมารัฐบาลก็ยังไม่สามารถคุมราคาล็อตเตอรี่ไม่ให้เกิน 80 บาท หรือการแก้ปัญหาตำรวจ เป็นต้น จึงอดตั้งคำถามถึงศักยภาพรัฐบาลไม่ได้ว่าหากสถานบันเทิงครบวงจร มีธุรกิจสีดำแอบแฝง เข้ามาจริงๆ รัฐบาลนี้จะมีศักยภาพแค่ไหน ในการขจัดภัยคุกคามนี้

“หากรัฐบาลจะผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร จะต้องคิดแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ควบคู่กันไป อย่าทำไปคิดไป หรือรอให้ปัญหาเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขไม่เช่นนั้นปัญหาทุนจีนสีเทาและการฟอกเงินจะขยายใหญ่โตอย่างแน่นอน เราอาจจะไม่ได้นิว (New) สิงคโปร์ แต่อาจจะกลายร่างเป็น นิวเฉเวโก๊กโก นิวคิงโรมัน” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า และเมื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ให้ครม. เป็นผู้กำหนดเขตพื้นที่ในการตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ส่วนการให้ใบอนุญาตจะเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย ซึ่งราวกับเป็นครม.น้อย เพราะมีนายกนั่งหัวโต๊ะ พร้อมกับรัฐมนตรี ผบ. ตร. , ป.ป.ง. ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกแต่งตั้งอีก 6 คน เท่ากับว่าเรื่องนี้ให้บทบาทนายกน มาก ซึ่งต่างจากสิงคโปร์ที่ให้เป็นบทบาทของรมว.มหาดไทย  ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าให้กระทรวงมหาดไทยของไทยเป็นคนดูแล จะให้คนอื่นทำก็ได้ แต่การให้หัวหน้าฝ่ายบริหารมารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงท่านจะมีเวลาพิจารณายละเอียดหรือไม่ เพราะคนข้างนอกนินทากันให้แซ่ดว่าใบอนุญาตทำสถานบันเทิงครบวงจรมีบริษัทไหนบ้างที่ได้ จะทำที่จังหวัดไหน และคุยไปไกลว่านายใหญ่จะได้รับประโยชน์กี่เปอร์เซ็นต์ ตนหวังว่าจะไม่จริง

นายรังสิมันต์ ยืนยันว่า ทั้งเรื่องยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์และสถานบันเทิงครบวงจร เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากไม่ระมัดระวัง ก็ไม่ต่างกับการที่ยกประเทศชาติให้ทุนเทาดำ ซึ่งเห็นบทเรียนที่เกิดขึ้นตามเก็บชายแดนว่า ความโลภได้ชักนำให้ประเทศชาติไปพัวพันเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเป็นอย่างไร เราคงไม่อยากเห็นเครือข่ายเหล่านี้คืบคลานเข้ามาในแผ่นดินไทย เปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของสิ่งผิดกฎหมาย

“ซึ่งปัญหาต่างๆ เราต้องการความเป็นผู้นำของนายกฯ คนไทยเจ็บปวดมามากพอแล้วกับปัญหาซิมม้า บัญชีม้า อย่าให้ถึงกับแม้แต่ตำแหน่งนายกฯ และรัฐมนตรีต่างๆ ต้องกลายเป็นม้าให้กับนายใหญ่ ให้กับพี่ชาย ให้กับครอบครัว ให้กับเพื่อนควบคุมเลย 1 ปีที่ผ่านมา ได้สูญเปล่าไปแล้วด้วยการมีนายกฯ 2 คน อย่าทำให้ 3 ปีต่อจากนี้ กลายเป็นความเจ๊งของคนไทย เพราะเรามีนายกฯ ม้า ที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ต้องรอคำสั่งจากนายใหญ่นายกฯ ตัวจริงที่แอบอยู่หลังแสงจันทร์ ประเทศชาติไม่ใช่เรื่องของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน” นายรังสิมันต์ กล่าว.