ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดหัวดง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ชาวเมืองลับแลต่างพร้อมใจสวมใส่ผ้าไทย ร่ายรำด้วยกลองยาวจากเด็กๆ นักเรียนในชุมชน ร่วมแห่ขบวน “ค้างบูยา” และ “สลากชะลอม” จากชุมชนต่างๆ มาถวายพระสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ เป็นวิถีชุมชนชาวเมืองลับแลที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น โดยจะจัดขึ้นในช่วงเข้าพรรษา ชาวลับแลร่วมอนุรักษ์สืบสานมานานกว่า 100 ปี โดยคณะครูยังได้พานักเรียนมาร่วมเรียนรู้ประเพณีดั้งเดิมของบรรพบุรุษชาวลับแลด้วย โดยพุทธศาสนิกชนพร้อมใจถวาย “ค้างบูยา”  จำนวน 11 ค้าง สลากชะลอม 1,288 ใบ

นายเพลิน สิริเกตุ มัคนายกวัดหัวดง กล่าวว่า ค้างบูยา เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของ อ.ลับแล แสดงถึงสายสัมพันธ์และความสามัคคีระหว่างญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณและสืบทอดจนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ชาวลับแลร่วมอนุรักษ์สืบสาน เป็นประเพณีทำบุญในช่วงเข้าพรรษา เพื่อถวายข้าวสารอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ คล้ายกับการทอดผ้าป่า “ค้างบูยา” มาจากก๊าง ที่แปลว่ากิ่ง และบูยาคือ การนำยาเส้นมามวน แขวนไว้ที่ก๊าง สมัยก่อนจะเน้นประดับตกแต่งด้วยมวนบุหรี่จำนวนมาก ปัจจุบันลดปริมาณลงแล้วแต่ยังพอมีให้เห็น และเปลี่ยนเป็นของกินของใช้ห้อยแขวน แต่ละชั้นจะประดับตกแต่งให้ดูสวยงาม เปรียบเหมือนต้นกัลปพฤกษ์ ด้านล่างจะเป็นกระจาด ใส่พืชไร่ พืชสวน ผลผลิตในชุมชนของชาวลับแล ทุเรียน ลางสาด ลองกอง กล้วย ฟัก ฟักทอง เป็นต้น 

บนยอดค้างประดับด้วยดอกไม้กระดาษ และตัวหงส์ มีธนบัตรห้อยตามความสวยงาม ส่วน “สลากชะลอม” สานจากไม้ไผ่ กรุด้วยใบตองเพื่อไม่ให้มองเห็นของข้างใน ใส่ขนมโบราณ ขนมแหนบ ขนมเทียน ขนมแตง ขนมพี่ขนมน้อง และใส่ข้าวปลาอาหารแห้ง ผลไม้ หมากพลู พืชผักสวนครัวอย่างละนิดละหน่อยแต่มีครบทุกอย่าง โดยแต่ละครอบครัวจะทำชะลอมให้เกินจำนวนสมาชิกในครอบครัว อย่างน้อย 1 ใบ  เพราะเชื่อว่า “มีเหลือกินเหลือเก็บ” ประเพณีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร ที่พุทธศาสนิกชนอำเภอลับแล สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ ถือเป็นการทำบุญช่วงเทศกาลเข้าพรรษา หรือใกล้วันออกพรรษา

“หลังถวายพระสงฆ์ตามประเพณีแล้ว ชะลอมส่วนหนึ่งจัดแบ่งให้กับพระสงฆ์ที่นิมนต์มา ที่เหลือจัดให้กับโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ และมอบให้กับเรือนจำ รวมไปถึงพื้นที่ประสบภัย เนื่องจากของในชะลอมเป็นสิ่งของที่สามารถรับประทานได้ ส่วนค้างบูยา จะนำถวายให้กับวัดต่างๆ ที่นิมนต์พระสงฆ์มา เพื่อนำจตุปัจจัยใช้ในการทำนุบำรุงศาสนสถาน ค่าน้ำค่าไฟให้กับทางวัด และสมทบถวายพระสงฆ์ที่อาพาธ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวลับแลยึดถือปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง” นายเพลินกล่าว