ถูกยกเป็นอีกหนึ่งนักแสดงสาวสวยที่แฟน ๆ รักอย่างมากมายสำหรับนางเอกสาว เชอรี่-เข็มอัปสร สิริสุขะ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แฟน ๆ ก็ยังคงรักและคิดถึงงานแสดงของเธออยู่เสมอ ล่าสุดเธอกลับมาพร้อมผลงานสุดปังที่โชว์ฝีมือการแสดงเรียกน้ำตาและเสียงปรบมือจากแฟน ๆ ได้อย่างล้นหลาม ซึ่งเป็นการกลับมาในรอบหลายปีของเธอที่แฟน ๆ คิดถึงสุด ๆ และพากันพูดถึงผ่านโลกออนไลน์ไม่มีหยุดงานนี้ “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสเจอตัวสาวเชอรี่ในงาน แพรว TALK 2024 ซึ่งเธอก็ได้เปิดใจแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับเราถึงเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตแบบจัดเต็ม

มุมมองในวงการ จริง ๆ ในปัจจุบันอยู่วงการมากี่ปีแล้ว?

“เอาจริง ๆ เชอรี่ เลิกนับไปแล้วค่ะ (ยิ้ม) แต่คิดว่า 20 กว่าปีขึ้นไป แต่ว่าเลิกนับแล้วจริง ๆ ไม่ได้นับ ตั้งแต่ 20 กว่าปีขึ้นไปแล้วนะคะ”

จุดเริ่มต้นแรกจริง ๆ อยากเป็นนักแสดงอยู่แล้วไหม?

“ไม่ใช่เลยค่ะ แรกเริ่มเลยอยากเป็นสถาปนิกแล้วก็เหมือนมุ่งมั่นกับการจะเอนทรานซ์ เข้าคณะสถาปัตย์ แต่ว่ามันมีโอกาสที่ให้ได้มาทำงานด้านบันเทิง ซึ่งงานในวงการบันเทิงทำแล้วก็เหมือนพอมันมีจุดเริ่มที่ 1 ตอนนั้นเริ่มจากการถ่ายโฆษณาค่ะ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีแล้วตอนนั้นเหมือนคิดแบบเด็ก ๆ มันได้ตังค์แล้วก็สร้างรายได้ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากทำงานให้ได้เงินอะไรแบบนี้ค่ะ แล้วก็พอเริ่มมาเล่นละครก็ทำให้เหมือนไม่มีเวลาเรียนหนังสือเท่าไหร่แล้วก็เลยต้องเปลี่ยนสายเอนทรานซ์จากสายวิทย์มาเป็นสายศิลป์-คำนวณแล้วก็อ่านหนังสือใหม่ทั้งหมดเลย แล้วก็ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าคือเหมือนมันเป็นค่านิยมของคนยุคนั้นค่ะ ว่าต้องเอนทรานซ์ให้ติด แล้วก็พอเหมือนเราปรึกษาอาจารย์แนะแนวค่ะว่าเออเรียนคณะไหนดีนะ แล้วอาจารย์ก็แนะนำมาอยู่ 4 อันดับ แล้วก็พอเราเลือกก็ตอนนั้นถ่ายละครหนักมาก แล้วก็เรียนหนังสือด้วย ประกวดวงโยฯ เล่นดนตรีอยู่ในวงโยฯด้วยค่ะ เค้าก็หยุดกองถ่ายให้ 1 เดือนสำหรับอ่านหนังสือ ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเลย 1 เดือน อยู่ในห้องนอนค่ะไม่ไปไหนเลย แล้วก็อ่านหนังสือใหม่ทั้งหมดค่ะ จนติดคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา ธรรมศาสตร์ ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันก็เป็นการเรียนที่น่าสนใจ เราสนใจเรื่องแบบแนวคิด ปรัชญา จิตวิทยา ซึ่งอยู่ในคณะนี้มันก็มีได้เรียนก็รู้สึกว่าชอบ แต่พอได้เรียนแล้วก็ชอบจริง ๆ แล้วก็มีคนเปรียบเทียบว่าจริง ๆ แล้วคณะสังคมวิทยาก็เป็นเหมือนสถาปนิกทางสังคม เราก็เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยก็เป็นสถาปนิกทางสังคมนะ (หัวเราะ) ก็มีความสุขกับการได้เรียนค่ะ แล้วก็ได้ทำงานในวงการไปด้วย เชอรี่เอง ทำงานวงการมาเรื่อยเลย จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะเล่นแค่เรื่องเดียวเพราะว่าไม่ได้อยากทำ ความบังเอิญในการที่ได้มาเล่นละครจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้อยากเล่นในตอนแรก”

ละครเรื่องแรกเลยเรื่องอะไร ชอบหรือไม่ตอนถ่ายทำ?

“เรื่องโปลิศจับขโมยค่ะ คือตอนนั้นได้มาเล่นเพราะว่าเค้าให้ไปเรียน Acting แล้วเราก็รู้สึกว่าเอออยากมีวิชา Acting ไว้ แล้วพอเค้าบอกว่าจะเปิดกล้องก็รู้สึกว่าไม่อยากเล่น แต่ว่าพ่อกับแม่บอกว่าให้รับผิดชอบก็เลยต้องเล่น แล้วพอเล่นจริง ๆ ก็สนุกอะ เหมือนเป็นการที่แบบไม่รู้หลายอย่างมากเลย แล้วอยากรู้อะไรอย่างนี้ค่ะก็เลยทำให้เหมือนทดลองเรื่อยมาแล้วก็จนเหมือนประมาณเรื่องที่ 7 ได้มั้งคะ ถึงจะเริ่มรู้สึกว่าเริ่มชอบสิ่งนี้ จากการแค่จากตอนแรกที่รู้สึกว่าอยากจะเข้าใจ ว่ามันทำงานแบบไหนนะ แล้วก็พอเริ่มชอบก็เริ่มสนุกมากยิ่งขึ้น”

จากนั้นแสดงมาตลอดจนถึงปัจจุบันใช่ไหม?

“ก็เรื่อยมาจนถึงจุด ๆ นึงที่ก็มีเบรกไปก็หายไปประมาณ 8 ปีเลยค่ะ ตอนนี้เชอรี่เพิ่งกลับมาค่ะ”

8 ปีที่หายไป ได้ไปลองทำอะไรมาบ้าง?

“ก็ไปทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเลยค่ะ เพราะว่าเหมือนมันเป็นช่วงความสนใจด้วยแหละว่าตอนนั้นเหมือนเราอ่านบทละครแล้วก็ยังไม่เจอเรื่องที่เรารู้สึกว่าอยากเล่นซะที อ่านมาหลายเรื่องก็ไม่เจอซะทีเราก็เข้าใจว่าสงสัยว่ามันจะถึงจุดนึงที่เรารู้สึกอิ่มตัวกับมันรึเปล่านะ เพราะว่าเราทำงานมาตั้งแต่เด็กอายุ 15 เลยค่ะแล้วก็รู้สึกว่าบางทีมันอาจจะต้องออกตามหาแรงบันดาลใจรึเปล่า แล้วก็พอมันมีปัญหาภัยแล้งเกิดขึ้นปี 59 ก็สนใจปัญหานี้และอยากจะแก้ไขก็ลงมือไปเรียนรู้ลงพื้นที่อะไรต่าง ๆ แล้วก็พอทำแล้วเรารู้สึกว่าเราแบบมีความสุขทุกครั้งเลย ในการที่จะได้ทำสิ่ง ๆ นี้ในการได้เรียนรู้ ในการที่จะแบบคิดโครงการ แก้ไขปัญหา มันรู้สึกว่ามันทำให้เราแบบตื่นเต้นที่จะทำ แล้วก็เลยรู้สึกว่าเออหรือว่าเราต้องเปลี่ยนทิศทางการทำงานแล้วแหละมั้งว่าเราชอบสิ่งนี้แล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีความสุขกับการได้ทำค่ะ แล้วมันกำลังเป็นความสุขของเรา ณ เวลานั้นก็เลยทำมาเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเอ๊ะ จะได้กลับมาเล่นละครรึเปล่าจากตอนแรก ๆ ที่หายไปปีสองปีก็รู้สึกว่าละครเดี๋ยวมันมีเรื่องเพราะก่อนหน้านั้นมีช่วงนึงก่อนที่จะเล่นเรื่องสุดท้าย ก็มีช่วงที่หายไป 2 ปี หายไป 2 ปีแล้วถึงกลับมาเล่นเรื่องก่อนที่จะหายไป 8 ปี แล้วก็เลยรู้สึกว่าโอเค เดี๋ยวพอมันเจอเรื่องมันก็คงได้เล่นแหละ ปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 มันไม่เจอซะที ก็เลยสงสัยว่าเออคงไม่ได้เล่นแล้ว แล้วก็พอจนทำงานมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มพัฒนาจากการที่เราทำเป็นโครงการไม่แสวงหาผลกำไรก็เริ่มมาทำเป็นธุรกิจเพื่อสังคม แล้วก็เหมือนมี Commitment มากขึ้นเรื่อย ๆ กับสิ่งนี้ แล้วก็จนเหมือนพอทำมาแล้วก็มีความสุขกับการได้เห็นสิ่งที่เราทำมันเติบโตแล้วก็กำลังจะไปทางนี้อยู่แล้ว มันก็ดีนะ แล้วก็จนมาเจอละครเรื่องที่เหมือนเล่นล่าสุดเรื่องลมเล่นไฟ พออ่านแล้วก็แบบชอบ ณ จุด ๆ นั้นเนี่ยเหมือนมีการคุยกับตัวเองเยอะมากเลยว่าเราจะตัดสินใจยังไงนะ เพราะว่าจริง ๆ แล้วเราเข้าใจมาโดยตลอดว่าการใช้ชีวิต มันต้องเป็นแบบชัดเจนในสิ่งที่เราจะทำว่าเราจะไปเส้นทางไหน แต่ ณ โมเมนต์นั้นก็ตอบตัวเองว่ามันก็คือความสุขของเราทั้ง 2 อัน แล้วมันก็คือตัวตนของเราทั้ง 2 โลกเลย แล้วจริง ๆ งานทั้ง 2 อย่างมันเอื้อซึ่งกันและกันด้วยซ้ำ พอคุยกับตัวเองเสร็จแล้วก็เลยตอบตกลงที่จะรับเล่นละครเรื่องนี้”

เคยมีโมเมนต์ที่เสียดายโอกาสเวลาที่เราหายจากหน้าจอไปนาน ๆ ไหม?

“เชอรี่ไม่เคยเสียดายกับอะไรเลยที่ตัวเองตัดสินใจนะคะ เพราะว่าก่อนที่จะตัดสินใจ เราได้ทบทวนและคิดแล้ว อย่างที่บอกว่ามีการพูดคุยกับตัวเองแล้วก็เหมือนแบบ Settle ในความคิดตัวเองค่ะ ว่าถ้าสิ่งนี้เราทำแล้วเราจะต้องมีความสุข ถ้าวันนี้มันยังไม่มีความสุขที่จะกระโจนใส่งานนั้นเราก็จะยังไม่รับมันเพราะว่าทุกอย่างเชอรี่ทำด้วยการเคารพในสิ่งที่ตัวเองทำว่าเราให้คุณค่ากับทุกอย่างที่เราทำ เพราะฉะนั้นเวลา 1 เรื่องที่จะเล่นเนี่ย มันใช้เวลานานมากเลย บางเรื่องเป็นปี บางเรื่องปีกว่า บางเรื่อง 9 เดือน ซึ่งถ้าเราจะต้องทำในสิ่งที่เราไม่ได้มีความสุขกับมันมันจะทำให้เรารู้สึกว่าเราเสียเวลาชีวิตของเรา แล้วก็เวลาที่พอเราตัดสินใจแล้วเนี่ย เราก็จะรู้สึกว่าถ้าเราต้องหายไปจากสิ่ง ๆ นี้มันเป็นธรรมดามากเลยเพราะว่าเราอยู่ในวงการมาตั้งแต่เด็กเราเห็นคลื่นลูกใหม่มาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว เราเห็นคนที่เคยอยู่แล้วก็หายไป เราเห็นสิ่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วนค่ะ แล้วเราก็ต้องเหมือนเราก็คุยกับตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งนี้มันก็ต้องเกิดขึ้นกับเรานะวันใดวันหนึ่งแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยใช้ชีวิตโดยที่รู้สึกว่ามันเป็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ เราเอาความสบายใจของเราเป็นหลักดีกว่าว่าเราจะอยู่ตรงไหนแล้วเรามีความสุขค่ะ”

ถ้าให้เชอรี่รีวิวตัวเองสัก 3 อย่าง อยากจะรีวิวอะไรให้แฟน ๆ ทราบบ้างเพราะอะไร?

“จริง ๆ เชอรี่ดูเหมือนเป็นคนสุดในทุก ๆ อย่างเวลาที่ตั้งใจมุ่งมั่นจะทำอะไร เชอรี่เหมือนไปให้สุดแล้วก็ทำมัน เราถามตัวเองว่านี่เราเต็มที่กับมันรึยังเพราะว่าหลาย ๆ ครั้งที่เชอรี่เชื่อว่าทุกคนเป็น มันจะมีความท้อแท้ มันจะมีความลังเลสงสัย มันจะมีความรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว สิ่งนี้มันใช่ใช่ไหม เราทำมาเต็มที่แล้วใช่ไหม ถ้าเราตอบกับตัวเองได้ว่าเราทำเต็มที่แล้วจริง ๆ เชอรี่จะพร้อมปล่อยวางเลย มันเหมือนเป็นความขัดแย้งมาก ๆ ในการที่แบบมุทะลุมาก ๆ เลย แต่ก็พร้อมปล่อยวางในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราทำเต็มที่ที่สุดของเราแล้ว นี่คือที่สุดเราไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เชอรี่จะปล่อยวางเลย แล้วเชอรี่เชื่อในเรื่องของจังหวะเวลาชีวิตแล้วก็สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นภายนอกมันมีหลายสิ่งที่เราไม่สามารถคอนโทรลได้ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำในสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดแล้ว พอเราปล่อยวางแล้วก็ปล่อยให้กระบวนการทุกอย่างมันขับเคลื่อนด้วยตัวมันเองเลย แล้วก็ถ้ากระบวนการจะพาเราไปทางไหนก็ให้เค้าพาเราไป ให้ชีวิตพาเราไปนำทางเราไป แล้วเชอรี่นอกจากจะฟังเสียงภายในของตัวเอง หัวใจของตัวเอง จิตใจ ร่างกายของตัวเองแล้วเชอรี่จะฟังเสียงภายนอกด้วยว่ามันมีอะไรที่จะบอกเรา อย่างเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ หรือว่าหลาย ๆ เรื่องในชีวิตของเชอรี่เลย ไม่ว่าจะเรื่องการทำงาน วงการบันเทิง มันไม่มีอะไรที่เชอรี่อยากทำมันตั้งแต่ต้นเลยด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องที่แบบว่าต้องมาทำสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นเชอรี่จะเปิดใจกว้างที่จะรับฟังว่าชีวิตจะนำพาเราไปทางไหน แล้วเราจะทำสิ่งนั้นมันให้ดีในทางที่ชีวิตจะนำทางไปค่ะ เต็มที่กับโอกาสที่เข้ามา”

หลายคนอยากรู้เชอรี่ดูแลตัวเองยังไง ทำไมถึงสวยได้ขนาดนี้?

“เชอรี่ให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกาย จิตใจให้มันสมดุลค่ะ อย่างร่างกายอย่างนี้มันมีทั้งภายในภายนอกเนอะ การดูแลเรื่องแบบว่ารูปร่างหน้าตา ความสวยงาม การบำรุง การดูแลรักษาก็คือทำ แต่ว่าพยายามเน้นอะไรที่มันทำให้เราแบบเหมือนยังเป็นเราอยู่ ไม่ต้องไปผ่านมีดหมอหรือต้องไปอะไรที่ทำให้มันต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนอื่นหรือว่าอะไรอย่างนี้ แล้วก็จะเน้นเรื่องความธรรมชาติแต่ว่าก็ไม่แอนตี้พวกเทคโนโลยีเพราะต้องยอมรับว่าเลเซอร์ทุกวันนี้ก็ช่วยพยุงเราได้ดีมาก (หัวเราะ) แล้วก็จะดูแลในเรื่องของการพักผ่อน การนอน ชอบนอนหลับมาก รู้สึกว่าเวลาที่เหนื่อยล้า เวลาไม่สบาย เวลามีความไม่สบายใจ การนอนของเชอรี่มันคือการ Rechange ที่ดีมาก ๆ แล้วก็เรื่องของอาหารการกิน การเลือกแบบที่จะทาน เชอรี่ทดลองมาหลายแนวมากในการที่ว่าแบบไหนมันดีกับสุขภาพของเรา เพราะว่ามันมีหลายแนวทางมากที่แบบให้ทานแบบนั้นแบบนี้เราก็ลองมาทุกแนวนะ ลองมาหลายแนวเอางี้ดีกว่าแล้วเราก็จะต้องคอยฟังเสียงร่างกายตัวเองค่ะ ว่าแบบไหนที่ร่างกายเราบอกว่ามันดีแล้วเราก็จะเลือกแบบนั้น แล้วก็เรื่องการดูแลทางด้านจิตใจ”

“อย่างเรื่องการปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธิ เชอรี่พยายามทำให้ได้ทุกวัน ซึ่งในทุกวันในการใช้ชีวิตต้องมีการนั่งสมาธิอย่างน้อย 1 ชั่วโมงแล้วก็หาเวลาที่จะไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมแบบปีละอย่างน้อย 1 ครั้ง ก็ 10 กว่าวัน 12 วันที่จะต้องทำให้มันเป็น Routine แล้วก็การดูแลเรื่องแนวความคิดทัศนคติของเราด้วย นอกจากการพูดคุยกับตัวเองบ่อย ๆ แล้ว การให้รู้ตัวเองว่าเราชอบ-ไม่ชอบแบบไหน เราเป็นคนแบบไหนทำความรู้จักกับตัวเองค่ะ การที่หาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเดี๋ยวนี้เค้าจะมีแบบพวก Self Help ทั้งหลายในการที่จะทำให้เหมือนเรามีทัศนคติแบบไหนในการทำงาน ในการใช้ชีวิต เชอรี่ก็จะเพิ่มเติมสิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็เพิ่มเติมเรื่องสกิล ก็แล้วแต่เรื่องงานที่เราทำ แบบถ้าเป็นงานในวงการบันเทิงเชอรี่ไม่หยุดเรียนรู้ในการที่จะไปเข้า Workshop การเรียน Acting การเรียนใช้เสียงอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ หรือว่าถ้าเป็นงานแบบด้านสิ่งแวดล้อม เชอรี่ก็จะหาคอร์สที่แบบเรียนทั้ง Online Of f line การอ่านหนังสือหรือว่าการทำพวก SocialEnterprise ธุรกิจเพื่อสังคม เราเป็นแบบคนที่ไม่รู้ ใหม่มาเราก็ต้องเรียนรู้ หาคอร์สที่จะไปเทค หาหนังสือที่จะอ่านหรือเรื่องความยั่งยืน เรื่อง ESG ต่าง ๆ อย่างนี้ เชอรี่ก็รู้สึกสนุกนะคะไม่ได้รู้สึกว่ามันเยอะไปหรืออะไร รู้สึกว่าเราอยากรู้เรื่องนี้เราก็จะคอยขวนขวาย เพราะเชอรี่เชื่อว่าคนเราในการที่จะดูดีได้ในแบบของตัวเอง ภายนอกและภายในต้องมาด้วยกัน ภายในก็มีทั้งสุขภาพ มีทั้ง Mindset มีทั้งทัศนคติซึ่งทุกอย่างทั้งการฟัง การอ่าน การแบบปฏิสัมพันธ์กับคน สังคมอะไรอย่างนี้มันหล่อหลอมมาเป็นตัวเราเพราะฉะนั้นการที่เราแบบอยากจะดูดีในแบบไหน มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาอะไรเข้าสู่ร่างกายของเราบ้าง”

เอาจริง ๆ งานในวงการบันเทิง ก็ยังไม่ได้ทิ้งใช่ไหม?

“(ยิ้ม)ค่ะ ก็คิดว่าถ้าเกิดว่ามันมีเรื่องที่รู้สึกว่าอยากจะกระโดดเข้าไปเล่นอีกก็จะรับอีกค่ะ แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่เนอะแล้วก็อาจจะไม่มีก็ได้ อันนี้ตอบไม่ได้เลยก็ให้ชีวิตนำพาไป ส่วนถ้าเป็นเป้าหมายในเรื่องของงาน ธุรกิจเพื่อสังคมที่ทำ ณ ปัจจุบันก็มีหลายบริษัทเลยค่ะ ก็พยายามที่จะทำให้ แต่ทุกบริษัทที่เราทำแข็งแรงแล้วก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เป้าหมายของการใช้ชีวิตของเราก็ยังจะเป็นไปเพื่อที่จะทำยังไงให้เรามีความเห็นแก่ตัวน้อยลงแล้วก็ลดอัตตาตัวตนของเราให้น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะว่าเชอรี่รู้สึกว่าความเห็นแก่ตัวแล้วก็อัตตามันทำให้เราแบบมีความทุกข์ ความอยากในการที่เราจะต้องแบบอยากไม่มีที่สิ้นสุดเลย มันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเพราะฉะนั้นเป้าหมายในการใช้ชีวิตก็คือทำยังไงให้เราแบบละสิ่งเหล่านี้ให้มันน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ในทุก ๆ วัน”

สุดท้ายอยากให้พูดถึงแฟน ๆ สักหน่อยที่รักและติดตามมาตลอด?

“พูดตามตรงเชอรี่ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยจริง ๆ กับทุก ๆ สิ่ง ขอบคุณอย่างที่สุด ขอบคุณแบบจากก้นบึ้งของหัวใจเลย ว่าต่อให้เราไม่มีงานในวงการบันเทิงมานาน พอเราไปทำงานด้านอื่นเค้าก็ตามไปสนับสนุนในทุก ๆ อย่างเลย ก็รู้สึกแบบขอบคุณที่สุดจริง ๆ แล้วพอเรากลับมาเล่นละครแล้วก็มีแบบทั้งคนเดิมและคนใหม่ ๆ ก็เข้ามาให้การสนับสนุนอะไรอย่างนี้ ก็รู้สึกว่าขอบคุณ เชอรี่ว่ามันเป็นพรในการใช้ชีวิตมาก ๆ เลยในการที่เราได้รับความรักแล้วก็การสนับสนุนจากคนที่เราไม่ได้เป็นเพื่อนหรือเป็นครอบครัวกันมาก่อน แล้วมันทำให้เราเหมือนสร้างสังคมใหม่ ๆ ที่แบบเป็นเรียกว่าเป็นมิตรภาพที่ดีมาก ๆ ในการที่แบบเราทำอะไรก็ตามเราจะรู้ว่าเราจะมีคนที่คอยเคียงข้างแล้วก็มองไปแล้วเราจะเห็นสายตาเค้าที่เค้าแบบส่งสายตาปิ๊ง ๆ มาให้การสนับสนุนอยู่ถึงแม้ว่าคนที่จะมาก็จะเป็นส่วนหนึ่งเนอะคนที่ไม่ได้มาแล้วก็ยังสนับสนุนอยู่ผ่านโซเชียลมีเดียมากมาย อันนี้ก็รู้สึกขอบคุณที่มีโซเชียลมีเดียเลย เมื่อก่อนเชอรี่ไม่ใช่คนเล่นโซเชียลมีเดียไม่ใช่เลย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า อ้อ เราไปทุกที่บนโลกนี้ไม่ได้เนอะ การมีโซเชียลมีเดียก็ทำให้เราได้รับการสนับสนุนการขอบคุณจากคนมากมายที่เราไปไม่ถึงเค้าได้ก็ขอบคุณมาก ๆ นะคะ”

ยิ่งได้คุยกับสาวเชอรี่ก็ยิ่งรู้สึกหลงรักในความเป็นธรรมชาติของเธอ ในความแสนดีที่เป็นคนที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และที่สำคัญ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เธอก็มักจะนึกถึงแฟน ๆ ของเธออยู่เสมอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้รักเธอได้ยังไงเนอะ ยังไงฝากติดตามสาวเชอรี่ในทุก ๆ เรื่องราวของชีวิตเธอด้วยนะคะ.

เรื่อง-ภาพ : สมคิด แซ่คู