เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ตำรวจสภ.เมืองนนทบุรี รับแจ้งเหตุหญิงกระโดดจากเรือข้ามฟากจมแม่น้ำเจ้าพระยาเสียชีวิต บริเวณท่าน้ำนนทบุรี ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุบริเวณท่าเรือพบร่างของ น.ส.สุดารัตน์ อายุ 28 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนโป๊ะเรือ โดยก่อนหน้านี้ผู้เสียชีวิตกระโดดจากเรือข้ามฟากและได้วางทรัพย์สินไว้บนเรือก่อนที่จะตัดสินใจกระโดดจากเรือขณะที่เรือวิ่งมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างนั้นมีผู้โดยสารบนเรือที่เห็นเหตุการณ์พยายามโยนห่วงยางเพื่อช่วยเหลือหลายครั้ง แต่หญิงสาวก็หมดแรงและจมน้ำหายไป
คนขับเรือหางยาว กล่าวว่า กำลังขับเรือเข้าท่าเรือได้ยินเสียงตะโกนจากเรือข้ามฟากว่าให้ช่วยคนตกน้ำตนจึงวนเรือเข้าไปช่วย ตอนแรกยังไม่เห็นคน แต่พอเข้าไปใกล้เห็นเป็นผู้หญิงลอยคว่ำหน้าอยู่ ขณะนั้นตนอยู่คนเดียวช่วยไม่ไหวจึงได้ช่วยพลิกตัวให้จมูกอยู่เหนือน้ำ และมีเรืออีกลำผ่านมาพอดีได้เข้ามาช่วยกันนำตัวหญิงดังกล่าวขึ้นมาบนเรือและนำมาขึ้นที่โป๊ะเรือเพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ
นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ตนและเพื่อนนักเรียนเล่นกันอยู่ริมเขื่อนเห็นเรือข้ามฟากลอยลำห่างจากฝั่งออกนอกเส้นทางที่เรือจะเข้าส่งผู้โดยสาร ตนได้พูดเล่นกับเพื่อนว่าเรือน้ำมันหมดหรือเปล่า แต่สักพักเห็นลุงคนนึงที่นั่งอยู่ใกล้กันหันมาตะโกนบอกว่ามีคนตกน้ำ หลังจากนั้นตนมองไปที่เรือก็เห็นมีคนบนเรือโยนชูชีพไปให้ แต่เหมือนเขาไม่รับอยู่หลายครั้งจนกระทั่งเรือสามารถช่วยเหลือขึ้นมาได้
ต่อมาแฟนหนุ่มของผู้เสียชีวิตทราบข่าว เดินทางมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจก่อนจะเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแฟนสาวไม่เคยบอกอะไร เพิ่งมารู้จากปากพี่ชายที่เป็นเพื่อนของแฟนว่าเขาไปสมัครทำงานในเฟซบุ๊กแล้วเพิ่งมาโชว์ให้ตนดูเมื่อกลางวันว่าจะไปถอนเงินออกจากแอปที่กดทำงานมาได้ครั้งละ 10 บาท รวมสองวันที่เขาทำงานมาได้เงินประมาณ 200 กว่าบาท โดยเขาบอกกับตนแค่ว่าจะออกไปซื้อของมากิน โดยที่แฟนไม่ได้บอกว่ามีปัญหาอะไร จนกระทั่งเพื่อนตนไปเห็นเขานั่งอยู่ที่หน้าธนาคารย่านบางพลัด ตอนบ่าย ตนจึงให้เพื่อนรับเขากลับไปส่งบ้าน แต่เขาก็ไม่ยอมกลับแล้วเขาก็ขี่รถจยย.ของตนหายไป จนกระทั่งตนมาทราบข่าวอีกทีเมื่อโทรศัพท์หาไปเขาแล้วมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ รับสายก่อนจะแจ้งข่าวร้ายให้ตนทราบ ตนจึงรีบเดินทางมา เบื้องต้นเชื่อว่าแฟนสาวของตนจะถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกให้ลงทุนจนนำทองไปจำนำ และเมื่อรู้ความจริงว่าถูกหลอกจึงคิดสั้นดังกล่าว
จากการตรวจสอบทรัพย์สินในกระเป๋าของผู้เสียชีวิตที่วางไว้บนเรือพบว่ามีตั๋วจำนำทอง 3 ใบ รวมเป็นเงิน 192,000 บาท และใบนำฝากเงินของธนาคารแห่งหนึ่งที่ผู้เสียชีวิตเพิ่งนำเงินสดไปฝากเข้าธนาคารในช่วง 13.30 น. อีก 1 ใบ จำนวนเงิน 142,000 บาท
ส่วนน้าของผู้เสียชีวิต อายุ 57 ปี กล่าวว่า หลานบอกว่าจะกลับบ้านตอนปีใหม่เพื่อจะไปไถ่ที่นาคืนและไปสร้างกระต๊อบน้อยอยู่ที่ทุ่งนา แล้วจะขนของไปไว้ที่นา หลังจากไถ่ที่ดินเสร็จแล้วจะไปทำโฉนดเพราะที่ตรงนั้นแบ่งกันหมดแล้ว 5 พี่น้อง แต่แม่เขาเอาที่ดินไปจำนำที่ธนาคารกรุงไทย 700,000 บาท แต่จริงๆ ล้านกว่าบาท แต่ไปเอาเข้ากองทุนฟื้นฟูเขาเลยลดให้เหลือ 7 แสนบาท
เขารับนวดแผนโบราณที่บ้าน แฟนหลานเปิดร้านที่บ้านชั้นล่าง ก่อนที่เขาจะมาเจอกันเขาก็ไปต่างประเทศหลายปีจนมีเงินเก็บ จะเอาเงินไปไถ่ที่นา เขาบอกว่าเขาจะรับผิดชอบที่แม่เป็นคนเอาไปจำนำ หลานบอกว่าจะไปไถ่จริงๆ เขามีเงินแล้ว แต่ตอนนี้เงิน 7 แสนกว่าหายไป มีแต่เงินแสนกว่าบาทที่เขาเอาทองไปจำนำ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเงินจากการเอาทองไปจำนำหรือเปล่า แต่ในกระเป๋ามีเงินอยู่ 140,000 บาท
แฟนของหลานบอกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินน้องเอาเงินน้องไปหมดเลยเหลือเงินในบัญชีไม่กี่หมื่น น้องก็เลยเสียใจ บอกว่าขอยืมรถหน่อยจะไปซื้อของกินแล้วก็หายไปเลย มารู้อีกทีโดดน้ำไปแล้ว แฟนของหลานโทรหาตนบอกว่า ออย โดดน้ำ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินไป ตนก็รีบมาทันทีเมื่อวานก็ยังคุยกันอยู่ ไม่มีท่าทีหรืออาการอะไรเลย หลานดีใจที่จะได้ไถ่นาให้แม่ แล้วหลานบอกว่าจะไปสร้างบ้านอยู่ตรงนั้นให้แม่ แม่เขาก็มีบ้านอยู่ แต่เขาอยากจะไปอยู่ในท้องไร่ท้องนา ส่วนตนเองก็เพิ่งเสียลูกชายไปซึ่งทั้งสองคนก็สนิทกัน