เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 67 ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.สุภาพรรณ โคฮุด อายุ 35 ปี ชาว จ.ราชบุรี ภรรยานายวรวัฒน์ เชื่อมแก้ว หรือเสือปุ่น ผู้ต้องหาคดีร่วมกันปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ฯ กรณีถูกมิจฉาชีพใช้อุบายหลอกลวงว่าจะช่วยเรื่องการประกันตัวนายวรวัฒน์ ก่อนหลงเชื่อโอนเงิน 100,000 บาท สุดท้ายหายเข้ากลีบเมฆ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายใน สภ.บ้านนา จ.นครนายก เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.30 น. หลังเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความทันที แต่ตำรวจให้รอ 1 เดือน หวั่นเสียเงินฟรี
จับแล้ว ‘เสือปุ่น’ เน็ตไอดอลคนดัง หัวหน้าแก๊งปล้นเงินล่อซื้อ อ่วมตั้ง 4 ข้อหาหนัก
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ น.ส.สุภาพรรณ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยกล่าวว่า วันนี้มาร้องเรียนเรื่องที่ถูกโกงเงินไป 100,000 บาท โดยเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปเยี่ยมสามีคือเสือปุ่น ที่ สภ.บ้านนา โดยแม่ของพี่ปุ่นไปก่อน และได้ขึ้นไปหาพี่ปุ่นบนโรงพัก ซึ่งนั่งอยู่กับตำรวจ 1 นาย จากนั้นพี่ปุ่นได้กระซิบบอกแม่ว่าเขาเรียกเงิน 2 แสน ซึ่งตนกลัวว่าแม่จะโดนหลอก จึงรีบตามไปที่โรงพัก พอไปถึงตำรวจยื่นเบอร์โทรศัพท์มาให้ แล้วบอกว่า รองผู้การจะคุยด้วย ตนจึงโทรฯ ไป โดยปลายสายบอกว่าสามารถช่วยพี่ปุ่นให้ประกันตัวที่โรงพักได้เลย แต่ขอเงิน 200,000 บาท แล้วจะจัดการให้ทุกอย่าง ตนจึงถามว่าแล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าพี่ปุ่นจะได้ออกมา เขาบอกว่าเดี๋ยวฉีกสำนวนทิ้งทั้งหมดเลย แล้วทำสำนวนให้ใหม่ ซึ่งคนในโทรศัพท์ไม่ได้บอกชื่อ จึงไม่รู้ว่าเป็นใคร
น.ส.สุภาพรรณ กล่าวอีกว่า จากนั้นบุคคลดังกล่าวก็โทรศัพท์มาเร่งให้รีบหาเงินโอนไปให้ ตนบอกไปว่าหาไม่ได้ มีแค่แสนเดียว เขาก็บอกให้โอนมาก่อน ส่วนที่เหลือค่อยว่ากัน เพราะจะต้องนำตัวพี่ปุ่นส่งศาลแล้ว ในใจตอนนั้นคิดว่าน่าจะเป็นตำรวจจริง เพราะรู้ว่าจะต้องนำตัวพี่ปุ่นส่งศาลแล้ว ประกอบกับก็กลัวว่าพี่ปุ่นจะไม่ได้ออกมา จึงรีบหาเงินโดยการไปกู้หนี้ยืมสินมา ซึ่งตนประกอบอาชีพขายของวันต่อวัน ไม่ได้มีเงินเป็นก้อนขนาดนั้น เมื่อหายืมเงินมาไม่ได้ เขาก็โทรฯ มาเร่งให้รีบโอนเงินไปให้ อ้างว่าจะไม่ทันแล้วต้องรีบเอาตัวพี่ปุ่นส่งศาลฝากขัง ตนเลยบอกว่าไม่เป็นไร หาเต็มที่แล้ว จากนั้นเขาก็วางสายไป สักพักเขาก็โทรฯ กลับมาใหม่และบอกว่าให้เวลาอีก 5 นาที โอนเงินเลยได้หรือเปล่า ตอนนั้นตนและญาติๆ รวบรวมเงินได้แล้ว จึงบอกว่าพร้อมโอนได้เลย พอโอนเสร็จเขาก็ปิดเครื่องหนีทันที
น.ส.สุภาพรรณ กล่าวว่า สักพักพี่ปุ่นก็เดินออกมาจากห้องควบคุมตัว ถามว่าโอนเงินหรือยัง ตนบอกว่าโอนแล้ว พี่ปุ่นบอกว่าถ้าโอนแล้วทำไมต้องถูกนำตัวส่งศาล ตนบอกไม่รู้โทรฯ ไปก็ไม่ติดแล้วถึงรู้ว่าถูกหลอก จึงรีบโทรฯ ไปอายัดบัญชีแล้วก็แจ้งความทันที ซึ่งตนได้ถามตำรวจคนที่ให้เบอร์โทรศัพท์มาว่า เบอร์ที่ให้มาเขาเป็นใคร ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว ตำรวจบอกว่าเขาก็ไม่รู้ เขารับสายต่อมาอีกที ตนก็ถามว่าแล้วรับต่อมาจากใคร เขาบอกไม่รู้ ตนจึงบอกว่าแล้วที่ให้โอนเงินไปให้ 100,000 บาท เขาเป็นใคร ตำรวจพูดแค่ว่า ไม่น่าโอนเงินไปให้เขา ซึ่งตำรวจยืนยันว่าไม่รู้จักคนที่ใช้เบอร์นั้น แต่ตนก็ทำไมเอาเบอร์มาให้ตนได้ แล้วอ้างว่ารับโทรศัพท์จากห้องข้างบน ตนจึงเดินขึ้นไปห้องข้างบนซึ่งเป็นห้องคล้ายห้องสืบสวน พบคนในห้องซึ่งเป็นตำรวจที่นั่งอยู่กับพี่ปุ่นคนแรก จึงถามว่าใครคุยกับแม่พี่ปุ่น เขาบอกไม่รู้ ห้องข้างบนก็โบ้ยมาห้องข้างล่าง ห้องข้างล่างก็โบ้ยขึ้นไปห้องข้างบน ซึ่งข้างล่างก็ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ตนจึงบอกว่าถ้าไม่รู้แล้วเอาเบอร์มาให้ตนได้อย่างไร เมื่อเอาเรื่องใครไม่ได้ตนจึงแจ้งความ โดยขณะที่กำลังแจ้งความ ตำรวจก็บอกว่าทำไมไม่บอกตำรวจตอนที่มีคนขอเงินมา ตนจึงบอกว่าจะแจ้งตำรวจได้ยังไงก็ในเมื่อตำรวจเป็นคนเอาเบอร์มาให้เอง แถมยังบอกไม่รู้อะไรเลย
หลังจากนั้นตนจึงขอภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพัก รออยู่นานมากเขาก็ไม่เอาภาพกล้องวงจรปิดมาให้ แล้วเขาก็ไม่รับโทรศัพท์เลย รอจนถึงเวลา 19.00 น. จึงกลับบ้านและได้ขอไลน์ตำรวจเอาไว้เพื่อให้เขาส่งภาพกล้องวงจรปิดมาให้ ซึ่งเขาก็ส่งภาพมาให้ แต่ไม่มีภาพตอนที่ตำรวจเดินเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ตน ซึ่งตนมีพยานยืนยัน เพราะมีคนนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นสิบคน เหตุการณ์ครั้งนี้ตนโดนมิจฉาชีพหลอกที่โรงพัก มันเกินไปหรือไม่ อีกทั้งตำรวจก็เป็นคนเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ จึงทำให้มั่นใจว่าปลายสายที่คุยไม่ใช่มิจฉาชีพอย่างเเน่นอน ถ้าเป็นคนอื่นเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ก็คงไม่กล้าโอนเงิน ตอนนี้ครอบครัวรู้สึกแย่มาก อยากฝากถึงคนที่เอาเงินไป ถ้ามีสามัญสำนึกก็เอาเงินมาคืนเถอะ ตนมีค่าใช้จ่าย มีภาระเหมือนกัน ทำแบบนี้มันซ้ำเติมกันเกินไป และอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามเรื่องนี้ด้วย กลัวว่าเรื่องจะเงียบ เพราะตำรวจบอกให้รอประมาณ 1 เดือน ซึ่งตนคิดว่ามันใช้เวลานานมากเกินไป