คิชิดะ วัย 67 ปี จะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนหน้า หลังเขาประกาศจะไม่ลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งภายในพรรคแอลดีพี ในเดือน ก.ย. นี้ ขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปของญี่ปุ่น จะมีขึ้นในเดือน ต.ค. ปีหน้า

อนึ่ง คิชิดะเป็นทายาทของตระกูลการเมือง “ฮิโรชิมา” และไม่ค่อยปรากฏตัว หรือมีบุคลิกที่โดดเด่น จนถูกมองว่า “ขาดเสน่ห์” ในบางครั้ง ซึ่งหลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อปี 2564 เขายกย่องทักษะการฟังของตัวเอง และให้สัญญาว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ เพื่อฟื้นฟูประเทศหลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19

นอกจากนี้ เขายังให้คำมั่นว่าจะจัดการกับวิกฤติประชากรของญี่ปุ่น และส่งเสริมแนวคิด “ทุนนิยมแบบใหม่” ที่ยุติธรรมมากขึ้น แต่นโยบายเหล่านี้ยังคงคลุมเครือ เช่นเดียวกับแผนการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน

ภายใต้การปกครองของคิชิดะ รัฐบาลญี่ปุ่นของเขา พยายามลดการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ด้วยการเปิดใช้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกครั้ง

แม้คิชิดะมีชื่อเสียงด้านแนวคิดเสรีนิยม แต่เขากลับสงวนท่าทีต่อประเด็นทางสังคมที่อ่อนไหว เช่น การสมรสเพศเดียวกัน แม้รัฐบาลของเขา ซึ่งมีรัฐมนตรีหญิง 5 คน ผ่านกฎหมายฉบับใหม่เกี่ยวกับจำนวนผู้หญิงในคณะกรรมการบริษัทก็ตาม

ในด้านนโยบายต่างประเทศ คิชิดะได้รับเสียงชื่นชมจากการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ในการเข้าข้างยูเครน หลังรัสเซียดำเนินปฏิบัติการทางทหารเมื่อปี 2565 รวมถึงการต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 แห่ง หรือ “จี7” และการเดินทางเยือนกรุงเคียฟ

ยิ่งไปกว่านั้น คิชิดะยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความพอใจให้กับสหรัฐ ที่ต้องการตอบโต้จีน ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ก็ดีขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของคิชิดะ ในการจัดการกับราคาผู้บริโภคที่สูงขึ้น และเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและครอบครัวของเขา ส่งผลให้คะแนนความนิยมของพรรคแอลดีพี “ลดฮวบ” จากเดิมที่เป็นพรรครัฐบาลที่ครองอำนาจอย่างแทบไม่หยุดชะงัก มานานหลายสิบปี

“หากคิชิดะไม่ลาออก คนในพรรคแอลดีพีเชื่อว่า พรรคจะเผชิญกับปัญหาใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า” นายยู อุจิยามะ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าว “พรรคแอลดีพีต้องการเปลี่ยนโฉมหน้าและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ เพื่อสร้างความประทับใจว่า พรรคได้เปลี่ยนไปแล้ว มิฉะนั้น พวกเขาเชื่อว่าพรรคจะประสบปัญหา”.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP