ชั่วโมงนี้คอหนังคอซีรีส์หลาย ๆ ท่านคงกำลังอิ่มเอมไปกับภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ และซีรีส์ระดับโลกจากแพลตฟอร์ม Disney+ Hotstar ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการนำซีรีส์จากค่ายดังมาฉายกันหลากหลาย และหนึ่งในนั้นที่ถือเป็นผลงานของประเทศไทย ที่หลายคนน่าจะได้ผ่านตากันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย นั่นก็คือ “อินจัน Extraordinary Siamese Story: Eng and Chang” หนังชีวประวัติของฝาแฝดตัวติดกันชื่อก้องโลก ผลงานร่วมสร้างระหว่าง “กันตนา” และ “ทรู” มีทั้งหมด 13 ตอน ถือเป็นซีรีส์ไทยคุณภาพ ไม่ได้มุ่งเน้นขายความฮา หรือความสยอง แต่เน้นเรื่องราวดราม่าชีวิต การต่อสู้และฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ จนชื่อของ “Siamese twins” โด่งดังไปทั่วโลก

“อิน-จัน” (รับบทโดย บ็อบ วรุตม์ บราวน์ และ เบ็น วราวุฒิ บราวน์) พวกเขาเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่อายุ 18 ปี ครอบครัวของเขามาซื้อที่ดิน 300 ไร่ ในหมู่บ้านแทรปฮิลล์ เขตชานเมืองวิลส์โบโร เคาน์ตี้วิลล์ส นอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ขณะนั้นฐานะทางการเงินค่อนข้างดี พวกเขาเปลี่ยนชื่อเป็น เอ็ง-ชาง บังเกอร์ (Eng and Chang Bunker) มีทาสคนผิวดำกว่า 30 ชีวิตคอยดูแลไร่ฝ้าย จนกระทั่งพวกเขาอายุ 28 ปี เป็นช่วงที่พวกเขาต้องการสร้างครอบครัว แต่ด้วยความบกพร่องทางร่างกาย เขากลายเป็นตัวประหลาดของกลุ่มเหยียดผิว ยิ่งตัวเขามีผิวเหลือง (ลูกครึ่งไทย-จีน) ก็ยิ่งโดนเหยียดหนักกว่าเดิม ความรักของฝาแฝดสยามจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งพวกเขาได้มาพบกับคู่พี่น้องตระกูลเยทส์ คือ ซาร่า แอนน์  (รับบทโดย เดน่า สโลซาร์) และ อาดิเลด แอนน์ (รับบทโดย มารีญา พูลเลิศลาภ) ซึ่งสามารถรับในความเป็นตัวตนของกันและกันได้ สุดท้ายพวกเขาแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน 4 คน และมีลูกด้วยกันหลายคน (จัน 10 คน, อิน 11 คน) ระหว่างที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตในต่างประเทศ มีความพยายามหลายครั้งจากหลายบุคคล ที่จะทำการผ่าตัดแยกร่างทั้งคู่ออกจากกัน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ผ่าตัดแต่อย่างใด

ภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริการะเบิดขึ้นในเดือน เม.ย. ปี ค.ศ. 1861 รัฐนอร์ทแคโรไลนา เป็น 1 ใน 11 รัฐที่แยกตัวออกจากสหภาพเพื่อก่อตั้งเป็น “สมาพันธรัฐอเมริกา” โดยมีเมืองหลวงที่ริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย ทาง “คริสโตเฟอร์” ลูกชายของจัน และ “สตีเฟน” ลูกชายของอิน ต่างเข้าร่วมรบในกองทัพของสมาพันธรัฐ เมื่อสงครามจบลงและฝ่ายสมาพันธรัฐ (ใต้) แพ้สงคราม ส่งผลให้คู่ฝาแฝดต้องสูญเสียทรัพย์สินของตนเกือบหมด ขณะนั้นพวกเขายังคงทำอาชีพเกษตรกรรม จนกระทั่งอายุ 63 ปี “จัน” ก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว 2 ชั่วโมงถัดมา “อิน” ก็ได้เสียชีวิตตามน้องชายไป 

ความโดดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้ ตัวหนังเล่าเรื่องของชีวิตในวัยหนุ่มสาวของฝาแฝดสยามกับภรรยา ความงดงามของการใช้ชีวิตและอุปสรรคของความรัก เคมีของพี่น้องฝาแฝดนักแสดง “บ็อบ-เบ็น” เข้าขากันได้ดี แม้จะต้องคอยกอดคอกันไปมาบ่อย ๆ ก็ตาม สำหรับบทสนทนาทั้งเรื่องเป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ แต่ก็มีซับภาษาไทยให้ได้อ่าน และเวลาที่ 2 พี่น้องอยู่ด้วยกันก็มักสื่อสารกันด้วยภาษาไทย นอกเหนือจากนักแสดงหลักแล้ว นี่คือซีรีส์ที่รวบรวมเหล่าดาราดังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คลาวเดีย จักรพันธุ์, เจสัน ยัง, “อติลา” อาร์เธอร์ อภิชาติ กานโยซ์ และ ไบรอน บิชอพ ขณะที่ผู้กำกับนั้นได้ “เต็นท์” กัลป์ กัลย์จาฤก มารับหน้าที่กุมบังเหียน

ด้านฉากซีนอารมณ์ แม้จุดหนักหน่วงจะมีหลายช่วง แต่หลัก ๆ ต้องยกให้กับซีนของสองศรีพี่น้องฝ่ายหญิง ที่พยายามเปิดใจยอมรับการใช้ชีวิตร่วมกัน โดยเฉพาะ “อาดิเลด” ที่พยายามปฏิเสธความรักของจัน แต่เธอก็ยังมีความปรารถนาลึก ๆ ซ่อนอยู่ ซึ่งต้องขอชมว่า “มารีญา” เล่นบทนี้ได้ดีมาก ขณะที่น้ำหนักบทในตัวละครอื่น ๆ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

สำหรับงานด้านภาพทำได้ดีเยี่ยม มุมภาพโลเกชั่นถูกเนรมิตให้สวยงามแทบทุกจุด ลงทุนไปถ่ายทำในต่างประเทศ วิวทิวทัศน์ ไร่นา บ้านเรือน รวมไปถึงโทนสีของภาพ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระบบ รวมทั้งเครื่องแต่งกายของผู้คนสมัยศตวรรษ 18 ที่ทำได้สมจริงมาก ๆ

อย่างไรก็ดี หนังแนวชีวประวัติของ “อินจัน” นั้น ก็ยังมีมุมมองบางอย่างที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน อีกทั้งการเล่าเรื่องค่อนข้างเร็ว อาจทำให้ผู้ชมปรับตัวปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

และหลังจากที่เราได้ดูซีรีส์เรื่องนี้จนจบแล้ว เมื่อหันกลับมาดูสภาพสังคมยุคปัจจุบัน ก็ทำให้เกิดคำถามที่ว่า “….แม้เวลาจะผ่านพ้นมานานเกินกว่า 200 ปีแล้ว แต่โลกที่เราอยู่กัน ณ เวลานี้ การยอมรับผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายให้ได้มีโอกาสทำงาน และใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลที่มีร่างกายปกติทั่วไปนั้น ยังคงมีความเหลื่อมล้ำอยู่อีกหรือไม่…”.

ภาณุพงศ์ ส่องสว่าง