ถูกจับตามองหนักมากหลังนักร้องดังยุค 90 ระดับตำนานอย่าง มอส ปฏิภาณ ที่ล่าสุดขอมาเผยความเป็นคุณพ่อที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้ที่ไหนมาก่อนกับการเข้าหาจิตแพทย์เรื่องการเลี้ยงลูก พร้อมทั้งเปิดเผยเส้นทางความรักที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตามบันไดหนีไฟ อีกทั้งยังสวนกระแสโควิด ทุ่มเงินกว่า 15 ล้านบาทสร้างสตูดิโอ ผ่านทางรายการคุยแซ่บ show แบบจัดเต็ม

มอส เผยว่า “เรื่องสตูดิโอคือเราทำงานในวงการนี้เราก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร เราก็มีที่ติดแม่น้ำบางปะกง เราติดว่าถ้าเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำ หรือเปิดฟาร์มให้เด็กๆ มาเที่ยว มันก็ต้องใช้คนเยอะ สตูดิโออาจจะใช้แค่ 2 คน ผมจ่ายไป 15 ล้านคือเป็นบ้านโบราณ เราก็ซื้อบ้านแบบไม้เก่า แบบถ่ายพีเรียด ซึ่งมันก็มีเรื่องลี้ลับ ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร บ้านหลังแรกคือบ้านคุณทวด อยู่ปราจีนบุรี ติดแม่น้ำบางปะกง เราก็ขับไปเห็นปุ๊บ โอเคตกลง ทุกอย่างครบถ้วน ให้คนมารื้อ พอวันสุดท้ายที่รื้อก็มีทีมงานไปทำพิธีเหมือนขอบ้านเขาเอาไปใช้งาน เอาไปอะไร เพราะเราซื้อเรียบร้อยแล้ว เราก็คุยกับทีมงาน ไปดูบ้านเลขที่สิ ตามประสาชาวบ้าน ทีมงานบอกไม่มี เราเลยบอกไปดูบ้านแรกสิตรงหัวถนน 33 ก็นับมา 5 หลังก็ 38 จัดเลย 22 ใบ 44,000 ครับ ผมก็บอกสาธุคุณทวด เรื่องก่อสร้างน่าจะเสร็จประมาณเดือนธันวาคม ก็จะเป็นแบบถ่ายพรีเวดดิ้งได้ หรือจะมาแต่งงาน ได้หมด อยู่ที่บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เราก็คิดว่าจะเปิด 10 ที่เป็นอาหารไทยริมแม่น้ำ ผมเป็นเชฟกับน้องอีกคน”

“ส่วนเรื่องเลี้ยงลูกพบจิตแพทย์ อันนี้พูดแบบนั้นเดี๋ยวจะงง ทำไมลูกเราต้องปรึกษาจิตแพทย์ แต่จริงๆ แล้วเนี่ยเราสังเกตเวลาไปเดินห้าง เราก็พาโสนไป ช่วงแรกๆ เขาก็ถ่ายรูปกับคนที่มาขอถ่าย แต่ช่วงหลังเหมือนกับอาการเขาเปลี่ยนไป เขาจะมาหลบ รู้สึกอึดอัด ก็ถามเกมส์ว่าลูกเปลี่ยนๆ ไป เราไปปรึกษาหมอไหมว่าลูกอาการแบบนี้มันเป็นอะไร หมอก็ถามเรื่องราวทั้งหมดของเรา การทำตัวกับเขายังไง มีเรื่องอะไรยังไง ก็เล่าให้หมด หมอก็จับประเด็นได้ว่า ช่วงแรกๆ ที่เราทำก็คือ โสนถ่ายกับพี่เขาหน่อยสิ สรุปแล้วหมอบอกว่าให้พี่มอสไม่ใช่อยู่ฝั่งเดียวกับแฟนคลับ ให้มาอยู่ฝั่งเดียวกับเขา หมอก็แนะนำให้เราถามลูกก่อนว่าอยากถ่ายไหม ให้เขาตัดสินใจ นั่นแสดงว่าเราอยู่ฝั่งเดียวกับเขา แล้วทุกครั้งที่ถาม บางทีเขาก็ถ่าย ถ้าเขาอารมณ์ดี”

มอส เล่าต่อว่า “ส่วนเรื่องความรักของผมกับเกม ย้อนกลับไปตอนพบเขาคือเขาก็เป็นพีอาร์ในค่าย ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน พอเจอกันปุ๊บในใจก็เอ๊ะยังไง แต่หลังจากนั้นพอเจอกันบ่อยๆ เริ่มรู้สึกทำไมคนนี้ทำให้เราหัวใจเต้นแรง ปกติไม่เคยมี คือมานั่งคิด ถามตัวเองเลย ถ้าปล่อยไป หรือปล่อยใจไปนี่ยุ่งแน่เลย ตอนนั้นที่คนมองไม่ควรคบกันเพราะตอนนั้นมันเป็นยุคที่แบบไอดอล มันเปิดเผยไม่ได้ คือเป็นยุคนั้น อย่างตอนนัดมาเจอที่บันไดหนีไฟ วันนั้นพี่มีงานที่ต้องเข้าตึกพอดี ต้องไปสถานีวิทยุ คราวนี้เราอยู่ชั้น 38 แล้วเกมทำงานอยู่ชั้น 39 เราก็บอกว่าเกมเดี๋ยวพี่เข้าตึกนะ พี่ซื้อลูกชิ้นมาฝาก เขาก็บอกว่าพี่ก็ให้ผู้จัดการเอามาให้สิ เราก็บอกว่าอยากเจอ เขาก็ถามว่าเจอกันที่ไหน ทำงานกันอยู่ พี่ก็เลยบอกว่าเอางี้ เกมเดินลงมา เดี๋ยวพี่เดินขึ้นไป เราเจอกันตรงกลางบันได”

“เรื่องใช้อำนาจหน้าที่จีบเขา (ยิ้ม) ตอนนั้นยังไม่ได้เบอร์โทรศัพท์ แล้วยังไม่ได้คุยกัน เรารู้สึกว่าอยากเจอคนนี้ เราก็บอกหัวหน้างานเขา ถ้าเกิดมีงานพีอาร์แล้วเอาผมไป ขอเป็นเกมคนเดียว ถามว่าข่าวสะพัดแกรมมี่ไหมคือพี่ที่เป็นหัวหน้างานเขาก็รู้นิดๆ เขาก็บอกว่าโอเคๆ เดี๋ยวพี่บอกให้ เสร็จปุ๊บมีงานนึงที่พี่ต้องไป แล้วมีพีอาร์คนไหนก็ไม่รู้นั่งรถตู้มารับพี่ พี่ก็ไม่ลงจากบ้าน พี่ก็โทรฯไปทำไมไม่ใช่เกม ผมไม่ไป จนเคลียร์กันแบบคือมันเป็นวิธีเดียวที่ทำให้พี่ได้เจอเขาเอาจริงๆตอนนั้นมีปาปารัซซี ช่วงอั้ม พัชราภา พอดี มีหนังสือตาม พอเปิดตัวคนยิ่งโอเค ดูเป็นผู้ชายแบบมีแฟน พี่ก็แบบได้เหรอ พี่ก็เปิดเลยเราหลบๆซ่อนๆมาประมาณ 5 ปี แต่พ่อแม่เขารับรู้นะ เราก็โอเคละสบายใจ”