เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า เขตพระนคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 8/2567 โดยมี นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัด กทม. คณะผู้บริหาร กทม. คณะผู้บริหารสำนักและสำนักงานเขต ร่วมประชุม 


ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า วันนี้ได้เน้นย้ำในเรื่องข้อบัญญัติงบประมาณซึ่งผ่านวาระ 1 เมื่อวานนี้ว่า ในช่วง 2 สัปดาห์นี้จะต้องให้ข้อมูลอย่างชัดเจนต่อคณะกรรมการวิสามัญฯ รวมถึงเรื่องงบแปรญัตติด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจจะมีบางจุดกรรมการพิจารณาตัดออกและแปรญัตติโครงการที่จำเป็นเพิ่มเข้าไปแทน เพื่อให้งบประมาณยังคงอยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท โดยให้เตรียมข้อมูล เหตุผลความจำเป็นต่าง ๆ ให้พร้อม นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใส การทำ TOR อย่างรอบคอบ เป็นไปตามระเบียบ รวมถึงเน้นย้ำนโยบายที่จะผลักดันในปีที่ 3 ต่อไป

ส่วนประเด็นการชำระหนี้รถไฟฟ้าบีทีเอส ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ยอมรับคำสั่งศาล โดยจะเร่งการประชุมใหญ่เพื่อหาข้อสรุประหว่าง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) และ กทม. และวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลโดยละเอียด ซึ่งมีบางจุดที่เป็นประเด็นจากศาล ต้องศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ ตามที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาและหาแนวทางในการปฏิบัติ


ผู้ว่าฯ กทม. ชี้แจงต่อไปว่า ในส่วนความผิดคือการหยุดชำระหนี้ จากส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ในช่วงประมาณปี 64 มีการนำหนี้มารวมเพื่อนำไปต่อสัญญาตาม ม.44 จึงทำให้เกิดการหยุดชำระเงิน ต่อมา ม.44 ไม่ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) กทม. จึงรอคำสั่งจาก ครม. ช่วงแรกบีทีเอสยอมรับการไม่จ่ายเงิน แต่เมื่อปี 64 ทางบีทีเอสได้ฟ้องร้อง กทม. ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยจากศาลฯ ระบุว่า กทม. ไม่ต้องรอคำสั่งจาก ครม. โดยให้จ่ายตามภาระที่มีอยู่รวมถึงระบุดอกเบี้ยมาด้วย ซึ่งก็ทำให้ กทม. มีภาระและความกดดันเพิ่มมากขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินรถส่วนต่อขยาย 1 จำนวน 2,000 ล้านบาท ส่วนต่อขยาย 2 จำนวน 6,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท 


แต่ค่าโดยสารที่เก็บได้ เป็นจำนวน 2,000 ล้านบาท ทำให้ต้องใช้เงินงบประมาณมาจ่ายส่วนต่างในการเดินรถ จำนวน 6,000 ล้านบาท สำหรับงบประมาณที่ กทม. ได้รับปีละ 90,000 ล้านบาท เมื่อต้องหักไปจ่ายหนี้ 6,000 ล้านบาท รวมทั้งมูลหนี้ที่รวมแล้วเกือบ 40,000 ล้านบาท ก็จะเป็นภาระของชาว กทม. ไปโดยปริยาย คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 140 วัน และจะพยายามให้การดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 180 วัน ตามคำสั่งศาล 

โดย กทม. จะพยายามใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุด เพราะเงินที่นำมาใช้เป็นเงินของประชาชน และจะหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาวว่าจะมีวิธีใดที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ การต่อ พ.ร.บ. ร่วมทุนที่จะหมดในปี 72 จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เน้นย้ำว่าทาง กทม. เอง จะต้องพิจารณาคำสั่งศาลให้ถี่ถ้วน เพราะข้อมูลบางตัวอาจจะไม่เป็นปัจจุบัน

สำหรับเรื่องที่คนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทยนั้น ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่คงต้องมีหลายหน่วยงานมาช่วยกัน ในส่วนของ กทม. ดูเรื่องหาบเร่แผงลอยเป็นหลัก ส่วนใบอนุญาตขับรถสาธารณะ กรมการขนส่งทางบกคงต้องมาช่วยกัน ในเรื่องของการดูแลวินมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่ ผู้อำนวยการเขตซึ่งเป็นประธานอนุกรรมการประจำกรุงเทพมหานคร ก็จะดูแลตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่ 

ด้าน นายไพฑูรย์ งามมุข ผอ.เขตห้วยขวาง กล่าวเสริมว่า จากกรณีร้องเรียนเรื่องของวินมอเตอร์ไซค์ชาวเวียดนาม ที่มีการลักลอบขับขี่บริเวณ MRT ห้วยขวางประตู 2 ได้สืบทราบแล้วว่าเป็นหมายเลข 7 โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และสำนักงานเขตได้ลงพื้นที่แล้ว 

ซึ่งจากการตรวจสอบพบมีความผิดจริง จึงจะมีการเพิกถอนใน 2 ส่วน คือ 1. เจ้าของวิน จะมีการประกาศยกเลิกวิน เนื่องจากไม่ตรวจสอบว่าใครเป็นใคร มาจากที่ไหน 2. ความผิดเฉพาะตัว โดยจะเพิกถอนหมายเลข 7 หลังจากเพิกถอนทั้งหมดแล้ว เขตจะเร่งจัดระเบียบใหม่และดำเนินการโดยเร็วเพื่อให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด.