จากกรณี ”เดลินิวส์” ได้เสนอข่าวปัญหาการถือครองที่ดินของรัฐ และการประกอบธุรกิจวิลล่าหรูให้เช่าของชาวต่างชาติบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มาอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การตรวจสอบของ กอ.รมน.ภาค 4 และพบปัญหาความรุนแรงในหลายพื้นที่ โดยมีการประเดิมกล่าวโทษเอาผิดการก่อสร้างวิลล่าหรู่จำนวน 53 หลัง บนเขาเฉวงน้อย พื้นที่ หมู่ 3 ต.บ่อผุด ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปทส. แต่ก็ได้เกิดเหตุขณะเข้าตรวจสอบ นักข่าวที่ติดตามทำข่าว กลับถูกชายฉกรรจ์ข่มขู่เอาชีวิต อ้างทำให้ธุรกิจเสียหายและทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 19 ก.ค. พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผอ.รมน.ภาค 4 กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุ ผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของสถานที่ได้ใช้วาจาข่มขู่ผู้สื่อข่าว ซึ่งติดตามการทำข่าวการเข้าตรวจสอบพื้นที่ของคณะทำงานตรวจสอบการก่อสร้างอาคารที่พักบนพื้นที่ภูเขาสูงและการประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าวบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่า หลังเกิดเหตุได้รับรายงานเหตุการณ์จากผู้ใต้บังคับบัญชา รวมถึงการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ซึ่งทราบว่าผู้สื่อข่าวได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนและประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ที่ก่อเหตุเรียบร้อยแล้ว
ตรงนี้เรายืนยันว่าในการเข้าตรวจสอบพื้นที่ของคณะทำงานฯ เราใช้อำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ฝ่ายปกครอง, ฝ่ายตำรวจ และเทศบาลนครเกาะสมุย กรณีที่เกิดขึ้นเข้าใจว่าผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของสถานที่ไม่ต้องการให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในสถานที่ด้วย ซึ่งก็ทราบว่าผู้สื่อข่าวก็ได้ปฏิบัติตาม ไม่ได้มีการขัดขืนแต่อย่างใด ซึ่งตนได้เน้นย้ำไปยังฝ่ายปฏิบัติการที่กำลังทำงานอยู่ในพื้นที่เกาะสมุย ว่าจะต้องทำงานด้วยความรอบคอบและไม่ต้องการให้เกิดการกระทบกระทั่งหรือมีความขัดแย้ง
โดยให้ใช้อำนาจหน้าที่ที่เรามีทำงานตรวจสอบและเก็บหลักฐาน และที่ผ่านมาเราก็เปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการได้นำพยานหลักฐานข้อเท็จจริงมาชี้แจงอยู่แล้ว ส่วนจะถูกหรือผิดก็ให้เป็นไปตามพยานหลักฐานให้นำไปต่อสู้กันในชั้นศาล ตนยืนยันตลอดมาว่าเราเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกตรวจสอบชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งทางวาจาและทางเอกสารไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติ แต่ต้องเข้าใจว่าการทำงานจะต้องเริ่มต้นจากจุดที่มีปัญหามากที่สุดก่อน อย่างกรณีของสถานที่ที่เกิดเหตุเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างนักข่าวกับผู้ประกอบการ เป็นพื้นที่ที่ต้องมีการตรวจสอบเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ การตรวจสอบพบพยานหลักฐานมีมูลความผิด จึงได้ส่งพยานหลักฐาน กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนของ ปทส. เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และเป็นคดีที่ทาง พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิต ผบช.ภ.8 รวมถึง กองทัพบก ให้ความสำคัญ
“เราทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ทำงานเพื่อประเทศชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำงานบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ตนได้กำชับให้คณะทำงานฯ ทำงานด้วยความรอบคอบ และมุ่งเน้นให้ถือพยานหลักฐานข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เพราะเราไม่ต้องการใช้กำลัง แต่เราจะใช้กฎหมายที่เรามีอยู่ดำเนินการ ซึ่งตนก็ได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ให้ใช้ความอดทน แต่ต้องไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น จะถูกหรือผิดก็ให้ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ต่อสู้กันทางกฎหมาย เราเปิดโอกาสให้เจ้าของธุรกิจได้ชี้แจงในมุมของเขา ตอนนี้เราพยายามจะทวงคืนที่ดิน ที่สาธารณะเอากลับมาเป็นสมบัติของชาติ และเรายืนยันว่าจะทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ “สมุยโมเดล” สามารถนำไปใช้กับพื้นที่อื่นๆ เพื่อทวงคืนทรัพยากรของประเทศกลับมาให้กับลูกหลานของเราในอนาคต” แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
ขณะที่ พ.อ.ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าชุดแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 กอ.รมน.ภาค 4 แจ้งผลจากการตรวจสอบพื้นที่โครงการวิลล่า 18 หลัง ที่ข่มขู่นักข่าว พบว่ามีการก่อสร้างในรูบแบบดียวกันทั้งหมด ลักษณะเป็นอาคารหลังเดียว ความสูงของอาคารแต่ละหลัง มีความสูงเกิน 6 เมตร บางส่วนอยู่ในเขตพื้นที่ห้ามมีการก่อสร้าง ขณะเข้าตรวจสอบพบชาวต่างชาติ 4 หลัง แสดงตัวเป็นเจ้าของอาคารตามสัญญาเช่าที่ดินและตัวอาคาร 2 หลัง ส่วนอีก 2 หลังแจ้งว่าเข้าพักชั่วคราวโดยการจองและจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ ส่วนอีก 14 หลังมีสภาพการใช้งานแต่ไม่พบผู้อยู่อาศัย ส่วนบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ดูแลพื้นที่อาคารทั้ง 18 หลังนั้น ไม่ได้นำเอกสารใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร หรือเอกสารอื่นใดมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสอบ จึงได้จัดทำบันทึกการตรวจสอบพื้นที่ของอาคารทั้ง 18 หลัง พร้อมบันทึกภาพถ่ายอาคารแต่ละหลังไว้เป็นหลักฐาน เพื่อส่งมอบพนักงานสอบสวน ปทส.ต่อไป