ช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน เพิ่งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และคุมกระทรวงการคลังใหม่ ๆ ได้เรียกผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าไป “เฉ่ง” ชุดใหญ่!
ประเด็นที่โดน “เฉ่ง” คือ 1.ไม่แอ็กทีฟ ไม่กระตือรือร้นให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ โตมากกว่านี้ แต่กลับปล่อยให้ทรุดต่ำกว่าศักยภาพ! 2.ปล่อยให้มีเรื่องมัวหมองเกิดขึ้นหลายกรณี โดยไม่ชำระสะสาง ส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของตลาดหลักทรัพย์ฯตกต่ำ 3.ผู้บริหาร ก.ล.ต.ต้องเร่งปัดกวาดบ้านของตัวเอง
ไม่ได้เฉ่งเพียงแค่นั้น แต่นายกฯ ยังกำกับดูแลสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเดินทางไปมอบนโยบาย พร้อม “ขันนอต” การทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกระดับใน ปปง.ด้วย!
นอกจากนี้ยังขอกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ด้วยตัวเอง! จากปกติ รมว.ยุติธรรม และรองนายกฯ จะเป็นผู้กำกับดูแล “ดีเอสไอ”
แต่นายเศรษฐาเอา ปปง.-ดีเอสไอ มาไว้ในอำนาจนายกฯ โดยตรง เพื่อกวาดล้างสิ่งเน่า ๆ ที่เกิดขึ้นช่วงปี 63-65 ในยุคที่เจ้าหน้าที่รัฐทำงานกันแบบชิลชิล กับปัญหาหมูเถื่อน–ตีนไก่เถื่อน–ยางพาราเถื่อน–ปั่นหุ้น
หนักว่า “หมูเถื่อน–ตีนไก่เถื่อน” คือปัญหา “โจรใส่สูท” ปั่นหุ้น–ตกแต่งบัญชี–สร้างข่าวลวง–ปล่อยข่าวเท็จ ในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
จนกลายเป็นที่มาของการเร่งเช็กบิล! เอาผิดกลุ่มบุคคลกว่า 10 คน บริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “STARK” สร้างความเสียหายไว้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท
ตามมาด้วยการกล่าวโทษผู้กระทำความผิด 32 ราย กรณีสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ “MORE” สร้างความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท โดยผู้กระทำผิดทั้ง STARK-MORE มีคนในตระกูลดังของเมืองไทยรวมอยู่ด้วย
รวมถึงการแจ้งความกล่าวโทษ ต่ออดีตกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด หรือ “Zipmex ประเทศไทย” กรณีทุจริตหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน หรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชน
ล่าสุดคือกรณีเสียวสะท้านในตลาดหุ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน คือ การแจ้งเอาผิด 3 คน กรรมการ-ผู้บริหารบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ “EA” ร่วมกระทำการทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้แก่ตนเอง–ผู้อื่น ทำให้ EA และบริษัทย่อยได้รับความเสียหายในเบื้องต้นกว่า 3.4 พันล้านบาท
งานนี้แว่ว ๆ ว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยของ EA กว่า 4 หมื่นคน ต่างเลือดโชกไปตาม ๆ กัน เนื่องจากราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 20-30 บาท แต่ยินยอมพร้อมใจกันเสพ “ข่าวดี” ถูกปล่อยออกมากระตุ้นราคาหุ้นเป็นระยะ ๆ โดยมีการลากราคาหุ้น EA ขึ้นไปสูงสุดถึง 105.50 บาท (17 ธ.ค. 64) เพิ่มขึ้น 18 เท่า จากราคา “ไอพีโอ” 5.5 บาท เมื่อปี 56 จนมีมูลค่า 3.9 แสนล้านบาท ก่อนจะรูดลงมาเหลือเพียง 6.40 บาท/หุ้น (17 ก.ค. 67)
ถ้าอยากเห็นบรรยากาศ “ตลาดหุ้น” ดีขึ้น! บางคนก็ต้องยอมเจ็บตัวบ้าง! และทนกับกลิ่นเหม็นกันแค่ชั่วคราวไปก่อน! เพราะ ก.ล.ต.ยุคเศรษฐา-ดีเอสไอ กำลังเอา “ปลาเน่า” บางตัวออกจากเข่ง โดยมีปลายทางอยู่ที่เรือนจำและ ปปง.!!.
………………………………….
พยัคฆ์น้อย