จากกรณี ภรรยาร้องเพจสายไหมต้องรอด ช่วยเหลือ นายวิศิษฏ์ สามีที่กำลังป่วย หลังถูกพี่สาวสามีบุกอุ้มจากบ้านพักย่านจรัญฯ 25 ไปกักขังที่ย่านสำโรง สมุทรปราการ กีดกันไม่ให้เจอครอบครัว
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (10 ก.ค.) เพจสายไหมต้องรอด พร้อมทนาย ได้เดินทางมาที่บ้านของ นางสาวิตรี ที่ จังหวัดสมุทรปราการ ก่อนที่จะพา นายวิศิษฏ์ พร้อม นางสาวิตรี ไปที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อลงบันทึกประจำวัน เรื่องมรดกที่นายวิศิษฏ์ ได้เซ็นไป โดยที่เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่อง พร้อมตรวจสอบหลักฐาน
โดยนางสาวิตรี อายุ 65 ปี พี่สาวของนายวิศิษฏ์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ตนเดินทางไปเยี่ยมน้องชายที่บ้าน พบว่าน้องชายมีอาการป่วย และสภาพการเป็นอยู่ไม่ดี ส่วนตัวรับไม่ได้ รู้สึกสงสารน้องชาย วันนั้นยังเห็นอาหารที่น้องชายกิน สังเกตว่า เป็นโจ๊กที่เททิ้งไว้นานแล้ว จึงเชื่อว่าน้องชายได้รับสารอาหารไม่ครบ ตัวเองเห็นว่าน้องชายบ่นอยากกินอาหารหลายอย่างแต่ก็ไม่ได้กิน น้องชายถูกภรรยาและลูกทำร้ายร่างกาย เพราะตัวเองเห็นบาดแผล และทราบมาว่าน้องชายถูกภรรยา ลูกชายและลูกสาว รุมทำร้ายร่างกายจนเกิดแผลคล้ายรอยเล็บ บริเวณหลังของน้องชายด้วย
สำหรับปัญหาเรื่องการชิงมรดก 100 ล้าน ยืนยันว่า เกิดจากภรรยาน้องชายเพียงคนเดียว ตัวเองไม่ได้เป็นคนเริ่ม เป็นความคิดของน้องสะใภ้ที่หวังฮุบสมบัติ ฝั่งญาติพี่น้องไม่เคยพูดถึงเรื่องสมบัติเลย ที่ตัวเองทำไปเพราะเป็นห่วงสุขภาพของน้องชาย ซึ่งตั้งแต่พาน้องชายไปอยู่ด้วย ไม่ได้มีการบังคับให้เซ็นเอกสารแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นความคิดของน้องสะใภ้
สำหรับมรดกทั้งหมดนั้น ยังไม่ได้มีการจัดการหรือแบ่งให้ใคร เพราะเพิ่งได้หนังสือรับรองแต่งตั้งผู้จัดการมรดก โดยทายาททั้งหมดรวมถึงน้องชาย ได้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน ส่วนประเด็นที่น้องสะใภ้ไปแจ้งความว่าตัวเองพาน้องชายไปกักขังไว้ที่บ้านนั้น นางสาวิตรี ได้ชี้ไปที่น้องชาย พร้อมถามกลับว่าแบบนี้คือการกักขังหรือไม่ เพราะอยู่กับตัวเองได้กินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนแม้จะไม่ได้กินยารักษาโรคประจำตัวก็ตาม เพราะตัวเองได้พาน้องชายไปกายภาพบำบัดและออกกำลังกายด้วย
เมื่อถามว่าน้องชายได้เจอกับภรรยากับลูกหรือไม่ นางสาวิตรี บอกว่าเพิ่งเอามาได้ 10 วัน ส่วนวันที่น้องสะใภ้เดินทางไปหาที่หน้าบ้านยืนยันว่าไม่ได้ปิดประตูใส่ ส่วนที่น้องสะใภ้อ้างว่าตัวเองผลักหัวน้องชายตอนที่ตำรวจไปตามที่บ้านนั้น นางสาวิตรี บอกว่าไม่ได้ผลัก สามารถไปสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ตัวเองเคยถูกน้องสะใภ้และหลานทำร้ายร่างกาย โดยเน้นไปบริเวณต้นคอ เพื่อหวังให้ตัวเองเป็นอัมพาตด้วย
ฝั่งนายวิศิษฐ์ กล่าวว่า พี่สาวบอกกับตนว่าจะพาอยู่ด้วยและจะดูแลดีกว่าครอบครัว ครอบครัวดูแลดี แต่ทางพี่สาวดูแลดีกว่า ยืนยันทั้งสองฝ่ายไม่มีฝั่งไหนทำร้ายร่างกายตน แต่ตอนนี้ขออยู่กับพี่สาวไปก่อน ยังไม่พร้อมที่จะกลับไป
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าให้ติดต่อกับทางภรรยาให้ไหม นายวิศิษฐ์ ปฏิเสธพร้อมบอกว่า ยังไม่พร้อมคุย แม้จะไม่ได้กินยารักษาโรคประจำตัว แต่ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงดีกว่าเมื่อก่อน เพราะพี่สาวพาไปกายภาพบำบัดและเล่นโยคะ
สำหรับประเด็นเรื่องมรดก ทีมข่าวได้พยายามสอบถามว่าเป็นปมสาเหตุที่ทำให้เกิดการทะเลาะกันในครั้งนี้หรือไม่ นายวิศิษฐ์ ยอมรับว่าปัญหาเกิดจากมรดกของพี่สาวคนโตจริง โดยทั้งตนและพี่น้องอีก 4 คน มีมรดกคนละส่วน ซึ่งตั้งแต่ตนไปอยู่บ้านพี่สาว พี่สาวก็มีการนำเอกสารบางอย่างมาให้ตนเซ็น ซึ่งตนมาทราบภายหลังว่าเป็นเอกสารเกี่ยวข้องกับมรดก และตนได้เซ็นไปแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายวิศิษฐ์ อยากได้มรดกหรือไม่ นายวิศิษฐ์ นิ่งเงียบและไม่ตอบคำถาม
ด้านภรรยา กล่าวว่า หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการที่ นายวิศิษฏ์ นั้น จะกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยนั้น ก็ต้องดูแลกัน ซึ่งก็ดูแลกันอยู่แล้ว ส่วนอะไรที่ นายวิศิษฏ์ เซ็นนั้น ก็น่าจะเป็นโมฆะ เนื่องจากสติของเขาไม่เต็มร้อยเหมือนโดนบังคับ ส่วนเรื่องมรดกนั้น ตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นแล้ว