กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 36.20-36.75 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 36.57 บาทต่อดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 36.55-36.88 บาทต่อดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงหลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความเห็นว่าการดูแลภาวะเงินเฟ้อคืบหน้าอย่างมาก โดยอัตราเงินเฟ้อกลับมามีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่เฟดต้องการได้รับข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถยืนยันว่าการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อสะท้อนภาพเศรษฐกิจอย่างถูกต้องก่อนที่จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า

ท่าทีดังกล่าวบ่งชี้ว่าเฟดกำลังเผชิญความเสี่ยงสองด้านทั้งเงินเฟ้อและการเติบโตในตอนนี้ โดยตลาดคาดว่าเฟดอาจใกล้เริ่มวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง นอกจากนี้ ตัวเลขสำคัญหลายรายการออกมาอ่อนแอกว่าคาด โดยดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐหดตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือน มิ.ย. สู่จุดต่ำสุดรอบ 4 ปี สนับสนุนมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจเริ่มแผ่วลงในไตรมาสสอง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 845 ล้านบาท และ 10,634 ล้านบาท ตามลำดับ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ตลาดในสัปดาห์นี้ว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจกับถ้อยแถลงนโยบายของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน มิ.ย.ของสหรัฐ หลังการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเกินคาดแต่ตัวเลขก่อนหน้าถูกทบทวนลง อีกทั้งอัตราการว่างงานสูงขึ้นและค่าจ้างเพิ่มในอัตราที่ช้าลง เอื้อให้เฟดสามารถลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. หากรายงานเงินเฟ้อในสัปดาห์นี้ออกมาสอดคล้องกับที่ตลาดคาดไว้ ส่วนค่าเงินปอนด์ได้แรงหนุนจากเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ตรงกันข้ามกับเงินยูโรที่เผชิญแรงกดดันหลังเลือกตั้งฝรั่งเศสนำไปสู่รัฐบาลเสียงข้างน้อย

สำหรับปัจจัยในประเทศ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือน มิ.ย.ของไทยเพิ่มขึ้น 0.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าที่ตลาดคาดและกลับมาอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อีกครั้ง ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมอาหารสดและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.36% ทางด้านผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่าแม้เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย แต่ยังไม่ต้องลดดอกเบี้ยทันที เนื่องจากการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยนโยบายจะต้องมองผลกระทบหลายมิติ โดยเห็นว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังเหมาะสม แต่พร้อมปรับหากปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ