เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายประดิษฐ์ เคนวง อายุ 33 ปี พร้อมภรรยา น.ส.โชติกา วันสา หรือทิพย์ อายุ 30 ปี ซึ่งพิการขาขาดทั้ง 2 ข้าง ลงจากรถขี่หลังสามีเดินทางมาจากจังหวัดอุดรธานี นำเอกสารหลักฐานต่างๆ เข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิ ว่าที่ ร.ต.รภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธาน นายชาญชัย ฉายบุ ที่ปรึกษามูลนิธิ เพื่อขอให้ช่วยเหลือครอบครัว หลังภรรยาประสบอุบัติเหตุถูกเลื่อยไฟฟ้าจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ตัดสินใจตัดขาทั้งสองข้างออกกลายเป็นคนพิการ แต่พอแจ้งประกันที่ทำไว้กลับได้รับการปฏิเสธจากบริษัทประกันภัย โดยอ้างว่าผู้เสียหายทำประกันภัยไว้หลายบริษัท จงใจปกปิดข้อมูลจึงต้องนำเรื่องมาร้องเรียนเพื่อขอให้ทางมูลนิธิช่วยเหลือด้วย

โดย น.ส.โชติกา เล่าให้ฟังว่า ตนอยู่กินกับสามีมานานหลายสิบปี มีลูกสาว 2 คนเป็นหญิงทั้งคู่ อายุ 5 ขวบและ 3 ขวบ ตนกับสามีประกอบอาชีพค้าขายที่บ้านตนเองในจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 67 ที่ผ่านมา ตนกับน้องชายชื่อ ท็อปฟี่ อายุ 26 ปี ต้องการตัดต้นไม้ใหญ่ข้างรั้วบ้าน น้องชายนำเลื่อยไฟฟ้ามาทำการตัดต้นไม้ดังกล่าว ระหว่างที่กำลังตัดต้นไม้ใกล้จะขาด ตนเอามือผลักต้นไม้ให้ล้มลงไปด้านข้างซึ่งเป็นทุ่งนา แต่ปรากฏว่าเลื่อยไฟฟ้าที่น้องชายถืออยู่สะบัดมาโดนขา 2 ข้างจนลึกเห็นกระดูก สามีรีบวิ่งออกมาจากบ้านและนำตัวตนเองส่งโรงพยาบาล แพทย์ลงความเห็นต้องตัดขาออกเพราะรักษาไม่ได้ ทำให้ตนเป็นคนพิการทันที

หลังเกิดเรื่องตนติดต่อไปยังบริษัทประกัน เนื่องจากทำประกันอุบัติเหตุเอาไว้วงเงิน 10 ล้านบาท โดยบริษัทดังกล่าวเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำประกันเอาไว้จากที่เคยทำประกันกับบริษัทอื่น ๆ รวม 6 เล่ม วงเงินประกัน 29 ล้านบาท ปรากฏว่าบริษัทประกันดังกล่าวกลับปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินให้ อ้างว่าตนมีกรมธรรม์หลายเล่ม เป็นการปกปิดข้อมูล ไม่อยู่ในเงื่อนไขรับผิดชอบ ทำให้ตนเสียใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เคยทำกรมธรรม์แบบสุขภาพเอาไว้ แต่เพราะไปใช้สิทธิเบิกค่ารักษาค่าพยาบาลบ่อย หลังจากเป็นโรคกระเพาะ จึงไม่สามารถทำประกันสุขภาพได้อีก เลยเปลี่ยนมาทำเป็นแบบประกันชีวิตและทุพพลภาพ หากประสบอุบัติเหตุตายหรือพิการ ครอบครัวจะได้ไม่ลำบาก แต่พอประสบเหตุจริงบริษัทกลับปฏิเสธ ทำให้ต้องมาร้องมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมเพื่อให้ช่วยเหลือ

ทั้งนี้ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิฯ ได้ให้ผู้เสียหายโทรฯ คุยกับน้องชาย เพื่อที่จะเคลียร์ให้กับสังคมได้รู้ว่า ไม่ได้ตัดขาตัวเองเพื่อหวังเงินประกัน ซึ่งทางน้องชายได้ตอบมาทางโทรศัพท์ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นรู้สึกเสียใจที่ทำให้พี่สาวต้องมาเป็นคนพิการ คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ หลังเกิดเหตุต้องถูกตำรวจแจ้งข้อหา ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย ขณะที่ น.ส.โชติกา กล่าวยืนยันว่า คงไม่มีใครมีความคิดทำร้ายตัวเอง ทำให้น้องชายติดคุก เพื่อหวังเอาเงินประกัน ทุกวันนี้ลูกสาวถามทุกวัน ขาแม่ไปไหน? เวลาเดินทางไปกับสามีก็มีแต่คนมอง จึงอยากขอความเห็นใจจากสังคมและบริษัทประกัน ให้เข้าใจถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตนด้วย

ด้าน ทนายรณณรงค์ เปิดเผยว่า หลังทราบเรื่อง ตนได้มอบหมายให้นายชาญชัย ที่ปรึกษามูลนิธิ นำผู้เสียหายขึ้นรถเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ เพื่อให้เรียกคู่กรณีทางบริษัทประกันภัยมาเจรจาไกล่เกลี่ยในเรื่องที่เกิดขึ้น หากไม่มีการรับผิดชอบหรือชดใช้ ตนจะพาผู้เสียหายไปร้องสำนักงานอัยการสูงสุดทันที