นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) กลุ่มจังหวัดตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) ณ จ.นครราชสีมา ได้เห็นชอบอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังโดยคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เสนอ ให้มีการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 2

ซึ่งมีการเปลี่ยนจากการอนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2567 ครั้งที่ 1 ที่ ครม.อนุมัติไปเมื่อวันที่ 13 ก.พ. โดยภายหลังจากมีการปรับปรุงหนี้สาธารณะแล้วระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จะอยู่ที่ 65.05% ต่อจีดีพี จากกรอบบริหารหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี

โดยมีสาระสำคัญ คือ 1.แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 2.758 แสนล้านบาท จากเดิม 7.547 แสนล้านบาท รวมเป็น 1.03 ล้านล้านบาท การปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่ในครั้งนี้แบ่งเป็นการก่อหนี้ของรัฐบาลที่รัฐบาลกู้มาใช้โดยตรงเพิ่มขึ้น 2.69 แสนล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลที่รัฐบาลกู้และมาให้รัฐวิสาหกิจกู้ต่อ เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 3,400 ล้านบาท 

2.แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 3.342 หมื่นล้านบาท จากเดิม 2.008 ล้านล้านบาท เป็น 2.042 ล้านล้านบาท รวมเป็น 2.024 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นแผนการบริหารหนี้ในประเทศ เพิ่มขึ้นประมาณ 6.674 หมื่นล้านบาท 

ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ให้ความเห็นในส่วนของการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะครั้งที่ 2 ว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะของประเทศไทย อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ขีดความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลยังคงมีอยู่อย่างจำกัด ประกอบกับภาวะอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้รัฐบาลมีภาระในการชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. มอบหมายสำนักงบประมาณ รับข้อสังเกตในประเด็นเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณในส่วนของต้นเงินและดอกเบี้ยของหนี้รัฐบาลและหนี้รัฐวิสาหกิจให้เพียงพอและสอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น โดยควรจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระต้นเงินกู้เฉพาะในส่วนหนี้รัฐบาลไม่ต่ำกว่า 3% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี  

นอกจากนี้ การจัดทำวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งได้บรรจุรายการวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลสัดส่วนต่อจีดีพี จำนวน 1.12 แสนล้านบาท และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  ซึ่งมีการกำหนดวงเงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงถึง จำนวน 8.657 แสนล้านบาท ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจเป็นตัวเร่งให้จำนวนหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้นเพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการดังนี้ อาทิ จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนหนี้สาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ และเพื่อป้องกันการเกิดการผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การตั้งงบเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 1.12 แสนล้าน เพื่อนำไปใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตตามที่ ครม. ได้เห็นชอบไปก่อนหน้านี้ แต่ภายหลังจากมีการปรับปรุงหนี้สาธารณะแล้ว ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 65.05% ต่อจีดีพี จากกรอบบริหารหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี