สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ว่า คณะตุลาการศาลฎีกาสหรัฐมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐ “ยังคงมีสถานะคุ้มกัน” จากการดำเนินคดีทางอาญา หาก “ภารกิจในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ” เกิดขึ้นระหว่างที่ทรัมป์ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม มติของศาลฎีกาเน้นย้ำว่า ทรัมป์อาจเผชิญกับการดำเนินคดี และการรับโทษทางกฎหมาย หากเป็น “การกระทำส่วนบุคคล” และเกิดขึ้นนอกเวลาปฏิบัติหน้าที่ราชการ อดีตผู้นำสหรัฐจะไม่ได้รับสิทธิคุ้มครอง
คำตัดสินดังกล่าวเรียกได้ว่า “เป็นประวัติศาสตร์” นับตั้งแต่มีการสถาปนาสหรัฐ เมื่อ 248 ปีที่แล้ว ซึ่งศาลสูงสุดของประเทศมีคำพิพากษา ว่าอดีตประธานาธิบดียังคงสามารถได้รับความคุ้มครอง จากกระบวนการกฎหมายทางอาญา
President Biden full statement on U.S. Supreme Court Immunity Ruling: "This is a fundamentally new principle and it's a dangerous precedent. The power of the office will no longer be constrained by the law…The only limits will be self-imposed by the president alone." pic.twitter.com/ltEeIdwQkc
— CSPAN (@cspan) July 2, 2024
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยส่วนตัวของนายจอห์น โรเบิร์ตส์ ประธานศาลฎีกา ระบุว่า แน่นอนว่า ประชาชนทุกคนในสหรัฐต้องอยู่ใต้กฎหมาย รวมถึงประธานาธิบดี แต่ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ “มีสิทธิคุ้มกัน” จากการถูกดำเนินคดีอาญา “ที่เกิดขึ้นระหว่างการอยู่ในวาระ” และ “เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ”
อนึ่ง อดีตผู้นำสหรัฐตกเป็นจำเลยในคดีทั้งระดับและระดับประเทศ เกี่ยวกับการปลุกระดมให้เกิดเหตุการณ์จลาจล ที่อาคารรัฐสภา ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 โดยในเวลานั้น ทรัมป์ยังคงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี แม้พ่ายแพ้การตั้งเมื่อเดือน พ.ย. 2563
ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ประณามคำพิพากษาของศาล “เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ที่เลวร้าย” ว่า “ประธานาธิบดีสหรัฐจะทำอะไรก็ได้”.
เครดิตภาพ : AFP