การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูโร 2024 ที่เยอรมนี เป็นเจ้าภาพ ประจำวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน เดินทางมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย มีเตะด้วยกัน 2 คู่ ถ่ายทอดสดช่อง PPTV36 (หมายเลข 36) ทั้งสองสนาม เริ่มคู่แรกเวลา 23.00 น. “แดนนาฬิกา” สวิตเซอร์แลนด์ พบ “อัซซูรี” อิตาลี เจ้าของแชมป์เก่า เล่นที่สนามโอลิมเปียสตาดิโอน เบอร์ลิน ในกรุงเบอร์ลิน โดยผู้ชนะจะไปเจอกับผู้ชนะระหว่างอังกฤษกับสโลวาเกีย ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
*อิตาลีขาดกองหลังตัวเก่ง
ลูเชียโน สปัลเลตติ กุนซืออิตาลี เข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม B รอบแรกชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1 เกมที่แล้วได้ปรับมาเล่นแผนหลัง 3 โดยใช้ มัตเตโอ ดาร์เมียน ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ซึ่งสื่ออิตาลีคาดว่า สปัลเลตติ ใช้แผนนี้ต่อเลยเกมเจอสวิตเซอร์แลนด์ แต่ ริคาร์โด คาลาฟิออรี กองหลังฟอร์มเด่นติดโทษแบน น่าจะเป็น จิอันลูกา มันชินี ทำหน้าที่แทน มัทเทีย ซัคคานี ฮีโร่เกมที่แล้วมีโอกาสลงตัวจริง เฟเดริโก เคียซา, จานลูกา สคามัคคา และ ดาวิเด ฟรัตเตซี จะได้กลับมาเป็น 11 คนแรกอีกครั้ง ตรงกลางมี จอร์จินโญ และ นิโคโล บาเรลลา ประสานงาน
*สวิสก็ไม่มีวิงแบ๊กขวา
มูรัต ยาคิน กุนซือทีมสวิตเซอร์แลนด์ เข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม A จากผลงานชนะ 1 เสมอ 2 โดยนัดสุดท้ายเกือบชนะเยอรมนีอยู่แล้ว ถ้าไม่โดนตีเสมอช่วงทดเจ็บไปเสียก่อน ความพร้อมของทีมจะปราศจาก ซิลวาน วิดเมอร์ วิงแบ๊กขวาที่ติดโทษแบน ยังไม่แน่ว่า ยาคิน จะเลือกใครแทนระหว่าง มิเชล เอบิสเชอน์ หรือ สตีเวน ซูเบอร์ ขณะที่ตำแหน่งอื่นอยู่กันครบ เรโม ฟรอยเลอร์ และ กรานิต ชากา เป็นสองห้องเครื่องอยู่หลัง แดน เอนดอย, ฟาเบียน รีเดอร์ และ บรีล เอมโบโล เป็นกองหน้าตัวเป้า
*เจอกันมาอิตาลีไม่แพ้มา 31 ปี
สถิติเจอกันมา 60 ครั้ง อิตาลี ดีกว่าบานตะไท คว้าชัย 29 เสมอ 24 แพ้แค่ 7 โดยหนสุดท้ายที่สวิตเซอร์แลนด์ชนะ ต้องย้อนไปไกลถึงปี 1993 หรือ 31 ปีมาแล้ว ในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกที่เฉือน 1-0 แต่ 11 เกมต่อมาอิตาลีชนะ 5 เสมอ 6 หนึ่งในนั้นคือยูโร 2020 ที่อิตาลีชนะในรอบแบ่งกลุ่ม 3-0 ส่วนอัตราต่อรองจากบริษัทรับวางเดิมพันถูกกฎหมาย ยกให้อิตาลี มีภาษีดีกว่าที่จะผ่านเข้ารอบในอัตราต่อรอง 8-11 (แทง 11 ได้ 8) ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ราคา 7-6 (แทง 6 ได้ 7)
*เจ้าภาพลงสนามเจอโคนม
คู่ต่อมาเวลา 02.00 น. ที่สนามเบเฟาเบ สตาดิโอน ในเมืองดอร์ตมุนด์ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ที่เข้ารอบมาในฐานะแชมป์กลุ่ม A จากผลงานชนะ 2 เสมอ 1 พบ “โคนม” เดนมาร์ก ทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม B ที่ยังไม่แพ้แต่ก็ไม่ชนะ เสมอมาตลอด 3 นัดแรก โดย เยอรมนี ได้เปรียบคู่แข่งแน่นอนเรื่องเสียงเชียร์ อีกทั้งร่างกายอาจสดมากกว่า เนื่องเตะจบรอบแรกมาตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. ได้พักมากกว่าเดนมาร์ก ที่เตะเกมล่าสุดวันที่ 25 มิ.ย. ผู้ชนะจะเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปเจอกับสเปนหรือจอร์เจีย
*เบียร์ลุ้นรูดิเกอร์ฟิตทัน
ยูเลียน นาเกลส์มันน์ กุนซือหนุ่มทีม “อินทรีเหล็ก” สภาพทีมแนวรับเปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะจะไม่มี โจนาธาน ทาห์ กองหลังคนสำคัญที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบสองใบ ขณะที่ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองหลังคู่หูบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาหลัง ยังต้องรอดูอาการจนนาทีสุดท้าย คาดว่า นิโก ชลอตเตอร์เบค จะแทนที่ ทาห์ ส่วนกรณี รูดิเกอร์ ในแคมป์เยอรมนี ยังมองแง่บวกว่าจะฟิตทัน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ วัลเดมาร์ แอนตัน จะทำหน้าที่แทน ขณะที่ตำแหน่งอื่นพร้อมมาก โทนี โครส, โรเบิร์ต อันดริช, จามาล มูเซียลา, อิลกาย กุนโดกัน, ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ได้ออกสตาร์ต โดยที่ นิคลาส ฟุลครุก รอโอกาสที่ม้านั่งเช่นเดิม
*โคนมขาดมิดฟิลด์โดนแบน
แคสเปอร์ ฮุลมันด์ กุนซือเดนมาร์ก ได้ตัว โธมัส เดลานีย์ มิดฟิลด์จอมเก๋ากลับมาอยู่ในทีมตั้งแต่นัดก่อน หลังจากหายป่วย และอาจได้มีส่วนร่วมทันที เนื่องจาก มอร์เทน ฮุลมันด์ มิดฟิลด์สปอร์ติง ลิสบอน ติดโทษแบน หรืออาจใช้ คริสเตียน นอร์การ์ด ประสานงาน ปิแอร์ เอมิล-ฮอยเบียร์ ด้าน คริสเตียน อีริคเซน มิดฟิลด์จอมสร้างสรรค์เกมจะอยู่หลัง ราสมุส ฮอยลุนด์ กับ โจนาส วินด์ ที่เป็นกองหน้าคู่กันเหมือนเดิม
*เจอกันมาเยอรมนีสถิติดีกว่า
ทั้งสองทีมเจอกันมาทั้งหมด 28 ครั้ง เยอรมนี ดีกว่าตามคาด คว้าชัย 15 เสมอ 5 แพ้ 8 โดยเดนมาร์กชนะครั้งสุดท้ายในการอุ่นเครื่องเมื่อปี 2007 หรือ 17 ปีมาแล้ว จากนั้น 4 ครั้งหลังสุด เยอรมนี ชนะ 1 ครั้ง ในเกมยูโร 2012 ส่วนอีก 3 ครั้ง เป็นเกมอุ่นเครื่อง จบด้วยการเสมอ ทั้งนี้อัตราต่อรองทีมเข้ารอบ เยอรมนี เป็นต่อ 2-9 (แทง 9 ได้ 2) ขณะที่เดนมาร์กอัตราต่อรอง 3-1 (แทง 1 ได้ 3)