องค์การการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ เคยกล่าวไว้ว่า ‘มหาสมุทร’ ได้รับผลกระทบจาก ‘ภาวะโลกร้อน’ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็นเวลานาน ‘ในฐานะที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยการดูดซับความร้อนและพลังงานส่วนเกินที่ปล่อยออกมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในปัจจุบัน มหาสมุทรได้ดูดซับความร้อนไว้มากถึง 90% จากการปล่อยมลพิษที่เพิ่มขึ้น
ด้วยความร้อนและพลังงานที่มากเกินไป ส่งผลให้มหาสมุทรมีความอุ่นขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทำให้เกิดผลกระทบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การละลายของน้ำแข็ง ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น คลื่นความร้อนในทะเล ไปจนถึงความเป็นกรดของมหาสมุทร การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนชายฝั่งและภูมิภาคอื่น ๆ
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0005-1280x853.jpg)
ทว่าในอีกมุมหนึ่ง ผืนน้ำสีครามอันกว้างใหญ่ดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบเท่านั้น มันยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์โลกของเราอย่างเงียบ ๆ ผ่านกลไกทางธรรมชาติอันทรงพลัง ที่เรียกว่า ‘บลูคาร์บอน’ (Blue Carbon) ซึ่งนับว่ามีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตดังกล่าว
‘บลูคาร์บอน’ คือ คาร์บอนที่ถูกกักเก็บไว้ในระบบนิเวศชายฝั่งทะเล อาทิ ป่าชายเลน ทุ่งหญ้าทะเล และบึงเกลือ ระบบนิเวศเหล่านี้เปรียบเสมือน ‘ฟองน้ำธรรมชาติ’ ที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ และกักเก็บไว้ในรูปของ ‘คาร์บอนอินทรีย์’ ในดิน ตะกอน และเนื้อเยื่อของพืช ซึ่ง ‘มีประสิทธิภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าป่าบกหลายเท่า’ ทั้งยังช่วยชะลอการกัดเซาะชายฝั่ง ป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
ดังนั้น การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศด้วยบลูคาร์บอน จึงถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญต่อการเผชิญหน้ากับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืนของชุมชนชายฝั่ง
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0062-1280x853.jpg)
“บลูคาร์บอน จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะลดปัญหาโลกเดือดได้ ถ้าเราไม่มีแหล่งป่าชายเลน ไม่มีแหล่งหญ้าทะเล หรือแม้กระทั่งสาหร่ายในปะการังที่เป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ ตรงนี้คือปัญหา ดังนั้นแล้ว ถ้าเราเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน เพิ่มแหล่งหญ้าทะเล ไม่ว่าจะด้วยการฟื้นฟู การปลูกเพิ่ม ตลอดจนการบริหารจัดการป่าชายเลนที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ให้ยังอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตรงนี้ก็จะเป็นทางช่วย และหากมนุษย์ไม่เข้าไปใช้ประโยชน์หรือปล่อยน้ำเสียเข้าไป บลูคาร์บอนของเราก็จะยังทำหน้าที่ในการดูดซับคาร์บอนต่อไปได้” ‘ดร. บัลลังก์ เนื่องแสง’ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวในเวทีเสวนา ‘สถานการณ์ภาวะโลกเดือด ความท้าทาย ผลกระทบ และแนวทางการแก้ปัญหาในประเทศไทย’ ที่จัดโดย ‘สิงห์อาสา’ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา (สวทม.) โดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความตระหนักรู้เรื่องบลูคาร์บอน หรือการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยทะเลและชายฝั่ง ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
เช่นเดียวกันกับ ‘ดร.สราวุธ ศิริวงศ์’ คณบดีคณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี ได้กล่าวถึงด้านการศึกษาในประเด็นดังกล่าวว่า งานวิจัย ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ของบลูคาร์บอน เช่น หากหญ้าทะเล ป่าชายเลน และปะการัง หายไปจำนวนจำนวนหนึ่ง ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมีตัวเลขอยู่ที่เท่าใด สามารถสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างไรบ้าง
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0354-1280x853.jpg)
เนื่องจากสภาพของระบบนิเวศในประเทศไทยมีความหลากหลายแตกต่างจากประเทศอื่นๆ พื้นที่ป่าชายเลนในไทย อาจมีศักยภาพสูงกว่าป่าชายเลนในต่างประเทศบางพื้นที่ กระทั่งพื้นที่ป่าบกในไทยและต่างประเทศก็มีศักยภาพที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นงานวิจัยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา จะต้องอยู่บนพื้นฐานของงานวิจัย
“งานวิจัยเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ การจะแก้ปัญหานิเวศทางทะเล ก็มีหลายมาตรฐานในการตรวจวัดเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเรามีตัวเลขความสามารถของป่าชายเลน หญ้าทะเล และปะการัง ในประเทศไทยได้ มันก็สามารถกำหนดเป้าหมายได้ว่า เราต้องฟื้นฟูเท่าไหร่ เพิ่มพื้นที่เท่าไหร่ และควรจะต้องวางแผนไปในทิศทางไหน นี่คือสิ่งที่เราต้องการ” ดร.สราวุธ กล่าว
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0476-1280x853.jpg)
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมพูดคุยถึงบทบาทของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ต่อการรับมือกับปัญหา ‘ปะการังฟอกขาว’ ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระหว่างการเชิญสื่อมวลชมเยี่ยมชม ‘โรงเพาะเลี้ยงปะการัง’ ซึ่งในส่วนของการวิจัย ดร. บัลลังก์ และ ดร.สราวุธ ปิดเผยว่า ทางสถาบันได้มีการศึกษาอย่างครอบคลุม ทั้งปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟอกขาวของปะการัง แนวทางการฟื้นตัวของปะการังหลังจากเกิดการฟอกขาว วิธีการป้องกันปะการังจากการฟอกขาว
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0468-1280x853.jpg)
อาทิ การปลูกปะการังเทียม การเพาะเลี้ยงปะการัง การควบคุมมลพิษทางทะเล ฯลฯ จนนำไปสู่โครงการอนุรักษ์ปะการัง ไม่ว่าจะเป็น ‘การปลูกปะการังเทียม’ ‘การฟื้นฟูแนวปะการัง’ รวมถึงได้มีการร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาปะการังฟอกขาว อย่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์กรพัฒนาเอกชน
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการพัฒนาเทคนิคการปลูกปะการังเทียมแบบใหม่ ที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ, การค้นพบสายพันธุ์ปะการังที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง, การริเริ่มโครงการฟื้นฟูแนวปะการัง ในบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของไทยได้สำเร็จ
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0518-1280x853.jpg)
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/06/NDEN0496-1280x853.jpg)
ทั้งนี้ ภายในโรงเพาะแห่งนี้ ไม่ได้เพาะเลี้ยงเฉพาะปะการังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีในส่วนของ ‘หญ้าทะเล’ ‘ต้นโกงกางในอ่างเพาะ’ ที่มีอายุมากถึง 20 ปี ตลอดจนปลาหลากหลายสายพันธุ์ ก็ถูกนำมาศึกษาวิจัยเพื่อทำการเพาะเลี้ยง รวมถึงพัฒนาสายพันธุ์ให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เพื่อคืนความสมดุลให้กับระบบเวศทางทะเลต่อไปได้อย่างยั่งยืน