ตามมาด้วยที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระใน วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาทผ่านฉลุย โดย “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หายจากป่วยโควิด ก็ขอใช้เวทีนี้โชว์ฟุ้งสร้างโลกสวยให้กับคนไทยด้วย 6 หกยุทธศาสตร์ ยันปลาย ปี 2567 เงินหมื่นถึงมือคนไทย  50 ล้านคน จะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ฝันจัดเก็บภาษีคืนให้รัฐได้  พร้อมวางแผนให้ปี 2568 เป็นปีท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ มั่นใจการค้าการลงทุนพุ่งขึ้นจุดสูงสุดในรอบ 9 ปี

แต่เจอขุนพลฝ่ายค้านเรียงหน้าสับ อย่าง “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ฉะรัฐบาลจัดงบ “ขี้หก ขี้เหร่” มีการซุกซ่อนไว้มากมาย พร้อมตั้งฉายา “นักกู้ผ้าขาวหน้าพันคอ”  ล้อกับที่ “นายกฯนิด”ใช้ผ้าขาวม้าพันคอเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังจับผิดเห็นพิรุธมีการแปลงงบฉุกเฉินมาใช้เป็นเงินดิจิตอลวอลเล็ต แถมขู่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตีความในวาระ2-3

ขณะที่ “แม่ทัพต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ฟาดไม่ยั้ง ซัดรัฐบาลจัดงบประมาณแบบ “เจ๊งไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้” มุ่งแก้วิกฤตการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล โดยนำอนาคตประเทศเป็นเดิมพัน จัดงบแบบมักง่ายแจกเงินหมื่นแลกกู้ศรัทธา

ด้าน “ไหม”ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หวดเต็มข้อซัด“รัฐบาลเศรษฐา” ใช้เงินมือเติบกำลังพาประเทศไปเสี่ยงด้วยการกู้จนเต็มแม็ค จะเป็นการสร้างหนี้สาธารณะไว้ให้กับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารเมื่อรัฐบาลชุดนี้หมดวาระ แถมเย้ยการแถลงของนายกฯฟังเผินๆดูดีมาก แต่ดูล่องลอยจับต้องไม่ได้ สุดท้ายจะถูกข้าราชการย้อมแมวเอาโครงการเดิมๆ สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแปะป้ายใหม่ว่าเป็นนโยบายรัฐบาลเศรษฐา กลายเป็นเรื่องเซาะกร่อนฐานบัลลังก์ความศรัทธาของ “รัฐบาลเศรษฐา”

ซึ่ง“นายกฯนิด” ออกมายันว่า รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไปก่อน และนโยบายอื่นๆจะตามมากระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนจากบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาและมีการจ้างงาน สร้างการผลิตด้วยการยกระดับอุตสาหกรรมไปอีกระดับหนึ่ง ในระหว่างนั้นเมื่อมีเงินหมื่นเข้ามาแล้วบวกกับการลงทุนจากต่างประเทศจะทำให้จีดีพีโตขึ้นจะทำให้การใช้หนี้เกิดขึ้นได้

คำพูด “นายกฯเศรษฐา” ถือเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่ยังจับต้องไม่ได้ท่ามกลางคดีร้อนไฟสุมขอน ที่รอวันรุกโชนแม้น ว่า 18 มิถุนายน จะไม่ใช่วันโลกาวินาศตามที่หมอดูบอก เพราะ4 คดีร้อนยังไม่ส่งผลร้ายต่อสถานการณ์การเมืองช่วงนี้

โดยมี 2 คดีที่ผลออกมาแบบสวยๆ เป็นไปตามคอการเมืองคาด คดีแรก คือ ศาลธรรมนูญมีมติให้ 4 มาตราของ พ.ร.ป.ว่าด้วย การได้มาซึ่งส.ว.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญทำให้กระบวนการ “เลื่อน ล้ม เลิก” เลือกสว. ถูกปลดล็อกไปได้อีกหนึ่งเปราะ 

แต่ต้องจับตาดูว่าในการเลือกส.ว.ระดับประเทศ  ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นเวทีสุดท้าย จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่ หรือจะมีเชื้อไฟอะไรที่ทำให้กระบวนการเลือกสว.ตกอยู่ในเกม “เลื่อน ล้ม เลิก” หรือไม่ แต่ที่แน่ๆตอนนี้สว. ชุดลายพรางเก็บกระเป๋ากลับบ้านเป็นที่เรียบร้อยถือเป็นการปิดตำนานอำนาจของลุงๆไปอีกหนึ่งกลุ่ม

แต่“เสรี สุวรรณภานนท์” ตั้งฉายารอ สว.ชุดใหม่ที่กำลังจะมาเป็น “สว.สภาฮั้ว” งานนี้จะรู้ว่าจริงหรือไม่ ก็อยู่ที่การกำกับดูแลของกกต.และผลการทำงานของสว.ชุดใหม่ที่ต้องพิสูจน์ศักดิ์ศรีตัวเองด้วยผลของงาน

อีกหนึ่งคดี คือ ศาลอาญาประทับรับฟ้องและมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยให้วางเงินเป็นหลักประกัน 500,000 บาทพร้อมยึดพาสปอร์ตห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หากนับนิ้วการสู้คดีในขั้นตอนต่อไป ก็จะต้องมีการสู้กันถึง3 ศาล คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีและในระหว่างนี้มีขั้นตอนการนิรโทษกรรมเป็นอีกหนึ่งประตูทางออก

ดูทรง “นายใหญ่” วันนี้ออกอาการชิลๆ โนสนโนแคร์ แถมยังเพิ่มเติมความเหิมเกริมด้วยการเดิน สายชิมของอร่อยพบบ้านใหญ่ตามจังหวัดต่างๆ เดินยุทธศาสตร์รวบรวมไพร่พลบ้านใหญ่การเมืองหวังฟื้นศรัทธา แต่จะฟื้นได้หรือไม่ต้องรอวัดใจเพราะอย่าลืมว่า “นายใหญ่” จากบ้านไป 17ปี คนรุ่นใหม่สัมผัสถึงผลงานที่เคยทำไม่ได้

ขณะเดียวกันสมการทางการเมืองตอนนี้หลังจากตั้งรัฐบาลสูตรพิสดารเกิดปรากฏการณ์คนเสื้อแดงกลายพันธุ์ เทแต้มให้กับพรรคสีส้ม จึงเป็นโจทย์ยากที่จะฟื้นฐานเสียงได้เหมือนในอดีต ที่สำคัญแนวคิดการใช้นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ก็มีแบบอย่างให้เห็นอยู่แล้วว่าสามารถล้มรัฐบาลได้

ถือเป็นไฟสุมขอนสำคัญที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “นายกฯนิด” ต้องเดินเกมให้ดี เพราะเป็นเงื่อนตายในบัลลังก์อำนาจ

ขณะเดียวกันยังมีคดีไฟสุมขอนที่หวาดเสียวรออยู่ คือ คดี 40 สว. ยื่นถอดถอน “นายกฯเศรษฐา” ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังลูกผีลูกคน เพราะถ้าถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมการการเมืองพร้อมสวิงทันทียังไม่รวมกับการดันเงินหมื่นดิจิตอล ที่ตอนนี้ยังกล้าๆกลัวๆ และยังไม่ยื่นคำถามส่งกฤษฎีกาในประเด็นการขอนำเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) มาใช้โครงการโครงการนี้

นอกจากนี้ยังมีวาระสำคัญ คือ การพา “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับบ้าน โดยมีการวางพ็อตเรื่องตั้งแต่การนำข้าวเน่า 10 ปี ออกมาประมูลขาย ต้องจับตาดูว่า จะนำไปเป็นเรื่องฟอกขาวให้ “ยิ่งลักษณ์” ได้อย่างไร

ขณะที่คดียุบพรรคก้าวไกล ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาต่อในวันที่ 3 กรกฎาคม ดูแล้วมีแววลากยาว รอจังหวะการเมือง

ซึ่ง “ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ออกมาให้ความเห็นไว้ ว่า คดีของพรรคก้าวไกลจะยุบหรือไม่ยุบก็มีค่าเท่ากัน แค่เร็วหรือช้าเท่านั้นเอง ถ้าถูกยุบก็ไม่แปลกใจ แค่ไปตั้งพรรคใหม่ แต่ถ้าไม่ถูกยุบอาจจะตกใจ และอยู่พรรคเดิม จะไม่ส่งผลต่อคะแนนนิยม แต่ถ้าถูกยุบจะเป็นผลดีต่อพรรคก้าวไกลเพราะได้รับความเห็นใจ  เหมือนการยุบพรรคอนาคตใหม่ ถ้าครั้งนี้จะโตขึ้นอีก 2 เท่า จะได้ 200 กว่าที่นั่ง

การยุบพรรคก้าวไกลถูกคิดในเชิงยุทธศาสตร์ที่ละเอียดมากขึ้น ต้องคิดภาพจากนี้ว่า จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ และคิดถึงการดีล ที่ไม่ใช่แค่ให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม แต่คิดไปถึงเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยังจะอยู่เป็นรัฐบาลด้วยกันอีก จึงต้องกดก้าวไกลไม่ให้มีเกิน200 เสียง

เป็นอีกหนึ่งไฟสุมขอน ที่รอจังหวะกระเพื่อม แต่จะเขย่าการเมืองได้มากขนาดไหน ขึ้นอยู่กับจำนวนงูเห่าว่าจะมีจำนวนมากเท่าไหร่ จะพอเป็นแรงสวิงเปลี่ยนขั้วอำนาจได้หรือไม่ เพราะตอนนี้อะไรไม่แน่นอนหลัง “ทักษิณ” ออกมาฟาดคนบ้านในป่า ทำเอาพลังประชารัฐ (พปชร.)ออกอาการลูกผีลูกคน ส่อแววถูกดีดออกจากพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนหรือไม่

ชีพจรการเมืองยังคงเต้นรัวตามจังหวะการแย่งชิงอำนาจแต่จะดีหรือไม่ต้องอยู่ที่ว่าผู้อยู่ในเกมคิดถึงประชาชนที่กำลังลำบากมากน้อยแค่ไหน.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดที่นี่