สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่า ไออีเอ ระบุในรายงานประจำปีว่า อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกคาดว่าจะ “คงที่” อยู่ที่ 106 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นทศวรรษนี้ ขณะที่กำลังการผลิตโดยรวมอาจสูงถึง 114 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งตลาดน้ำมันควรเตรียมพร้อมรับมือน้ำมันส่วนเกิน 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ด้านนายฟาตีห์ บิรอล กรรมการบริหารของไออีเอ กล่าวว่า การฟื้นตัวจากการะบาดใหญ่ที่เริ่มชะลอตัว, ความก้าวหน้าด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน ทำให้การเติบโตในอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกชะลอตัว และคาดว่าจะแตะระดับสูงสุดภายในปี 2573
“เนื่องจากอุปทานส่วนเกินครั้งใหญ่เกิดขึ้นในทศวรรษนี้ บริษัทน้ำมันอาจต้องการทำให้แน่ใจว่า กลยุทธ์และแผนธุรกิจของพวกเขา เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น” บิรอล กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ไออีเอระบุในรายงานว่า แม้หลายประเทศในเอเชีย เช่น จีน และอินเดีย รวมถึงภาคส่วนการบินและปิโตรเคมี ยังคงเป็นแรงผลักดันความต้องการน้ำมัน ซึ่งอยู่ที่ 102 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อปี 2566 แต่การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ควบคู่กับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของยานพาหนะทั่วไป และการใช้น้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ลดลง ในประเทศตะวันออกกลาง จะช่วยจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์โดยรวม ให้อยู่ที่ประมาณ 4% ภายในปี 2573
นอกจากนี้ ไออีเอยังระบุเสริมว่า อุปสงค์น้ำมันในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี โดยลดลงจาก 46 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อปี 2566 เหลือต่ำกว่า 43 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2573 ซึ่งในขณะเดียวกัน กำลังการผลิตน้ำมันกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.
เครดิตภาพ : AFP