วิเคราะห์เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ กับ รีล มาดริด ที่เวมบลีย์ ในคืนวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน ใครจะคว้าแชมป์
ไม่นับการเดินหน้าไล่ล่าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 15 ของ “ราชันชุดขาว” และแชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปสมัยที่ 2 ของ “เสือเหลือง” ยังมีอีกหลายอย่างที่แฟนบอลต้องจับตามอง ไล่ตั้งแต่การอำลาสนามของ 2 สุดยอดมิดฟิลด์ชาวเยอรมันอย่าง มาร์โก รอยส์ ของดอร์ตมุนด์ ที่จะแขวนสตั๊ดหลังเกมนี้ และโทนี โครส ที่จะลงเล่นเกมระดับสโมสรอาชีพเป็นนัดสุดท้าย หลังประกาศรีไทร์ตอนจบยูโร 2024
การดวลกันของ 2 นักเตะอังกฤษ ที่ประเทศอังกฤษ อย่าง จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์มาดริด ซึ่งเคยเล่นกับ ดอร์ตมุนด์ ถึง 132 เกม กับ เจดอน ซานโช ที่ถูกยืมตัวกลับมาอยู่ ดอร์ตมุนด์ อีกครั้ง และระเบิดฟอร์มพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
บาดแผลที่เวมบลีย์ของ ดอร์ตมุนด์ ที่เคยเข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนามแห่งนี้ เมื่อปี 2013 แต่แพ้ บาเยิร์น มิวนิก 1-2 ซึ่ง 2 นักเตะที่ลงเล่นในวันนั้นอย่าง มาร์โก รอยส์ และ มัตส์ ฮุมเมิลส์ ก็ยังอยู่ในทีมชุดนี้ และที่ลืมไม่ได้ก็คือสถิติเหลือเชื่อของ คาร์โล อันเชลอตติ ที่เคยได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฐานะกุนซือมาแล้วถึง 4 ครั้ง (เอซี มิลาน 2 ครั้ง, รีล มาดริด 2 ครั้ง) และในฐานะนักเตะอีก 2 ครั้ง (กับ เอซี มิลาน) ทำให้ถ้าได้อีก จะเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งที่ 7 แล้วของ “คาร์เลตโต”
โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์
“เสือเหลือง” จบในอันดับ 5 ของบุนเดสลีกา เตะ 34 นัด มี 63 คะแนน โดยพวกเขาเคยได้แชมป์รายการนี้ 1 สมัย ในปี 1997 และเคยเข้าชิงอีก 1 ครั้ง ในปี 2013 (แพ้ บาเยิร์น 1-2) ขณะที่ฤดูกาลที่แล้ว เข้าถึงรอบ 16 ทีม (แพ้ เชลซี ประตูรวม 1-2) ส่วนฤดูกาลนี้ รอบแบ่งกลุ่ม ชนะ 3, เสมอ 2, แพ้ 1 เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ตามด้วยรอบ 16 ทีม ชนะ พีเอสวี รวม 3-1 ต่อด้วยชนะ แอตเลติโก มาดริด รวม 5-4 และรอบตัดเชือกอัด ปารีสฯ ประตูรวม 2-0
“เอดิน แทร์ซิช” กุนซือหนุ่มเสือเหลือง ต้องเช็กความฟิต “เซบาสเตียน ฮัลแลร์” กองหน้า แต่คาดว่าจะเป็นสำรองอยู่แล้ว ส่วนตัวหลักที่เหลือพร้อมลงได้หมด โดยมี “เกรกอร์ โคเบล” เฝ้าเสา แดนหลังใช้ “มัตส์ ฮุมเมิลส์” กับ “นิโก ชลอตเตอร์เบค” ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ
วิงแบ๊ก 2 ข้างใช้ “จูเลียน ไรเยอร์สัน” กับ “เอียน มาตเซน” ขณะที่แดนกลางวาง “เอ็มเร ชาน” กับ “มาร์เซล ซาบิตเซอร์” คุมเกม แล้วใช้ คาริม อเดเยมี, ยูเลียน บรันด์, เจดอน ซานโช ทำเกมรุกสนับสนุน นิคลาส ฟูลครูก หัวหอกตัวเป้า
รีล มาดริด
“ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ลา ลีกา ไปแล้ว หลังเก็บได้ถึง 95 คะแนน ทิ้งห่าง บาร์เซโลนา 10 คะแนน และพวกเขาคือเจ้าของสถิติได้แชมป์มากที่สุด 14 สมัยในรายการนี้ ฤดูกาลที่แล้ว เข้าถึงรอบตัดเชือก (แพ้ แมนฯ ซิตี ประตูรวม 1-5) ส่วนฤดูกาลนี้ รอบแบ่งกลุ่ม ชนะ 6 เกมรวด เป็นแชมป์กลุ่ม เข้ารอบ 16 ทีมไปเฉือน ไลป์ซิก รวม 2-1 ต่อด้วยการถอนแค้น แมนฯ ซิตี ในการยิงจุดโทษ 4-3 หลังประตูรวมเสมอกัน 4-4 และรอบรองชนะเลิศ เฉือน บาเยิร์น ประตูรวม 4-3 เข้ารอบชิงเป็นครั้งที่ 18
“คาร์โล อันเชลอตติ” มีปัญหาเดียวคือตำแหน่งผู้รักษาประตูว่าจะใช้ใครระหว่าง “อังเดร ลูนิน” ที่ฟอร์มดี กับ “ติโบต์ กูร์กตัวส์” ที่หายเจ็บแล้ว ขณะที่ “ดาวิด อลาบา” กับ “ออเรเลียง ชูอาเมนี” ยังเจ็บ แต่ที่เหลือพร้อมลง โดยเชื่อว่า “กูร์กตัวส์” จะได้ลงเฝ้าเสาก่อน แดนหลังมี “นาโช เฟร์นานเดซ” กัปตันทีม กับ “อันโตนิโอ รูดิเกอร์” เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แล้วใช้ “ดานี คาบาฆาล” กับ “แฟร์กล็องด์ เมนดี” เป็นแบ๊ก 2 ข้าง แดนกลาง “โทนี โครส” ประจำการเป็นเกมสุดท้ายให้ มาดริด ทำเกมร่วมกับ “เฟรเด บัลเบร์เด” และเอดูอาร์โด กามาวินกา ส่วนเกมรุกใช้ 3 ประสาน จูด เบลลิงแฮม, โรดรีโก และวินิซิอุส จูเนียร์
ความน่าจะเป็นของเกม
เจอกันมา 14 ครั้ง มาดริด ชนะ 6, ดอร์ตมุนด์ ชนะ 3 และเสมอกัน 5 ครั้ง แต่พบกัน 4 ครั้งหลังสุด ทีมชุดขาวไม่แพ้เลย โดยเสือเหลืองชนะครั้งสุดท้ายคือในรอบ 8 ทีม ฤดูกาล 2013-14 โดยรวมจึงถือว่าทีมจากสเปนดูดีกว่า ยิ่งพวกเขาถูกโฉลกกับบอลยุโรปอยู่แล้ว และนักเตะก็กำลังอยู่ในฟอร์ม ความมั่นใจ ความคึกคัก ก็กำลังเต็มถัง จึงได้เปรียบชัดเจน
แต่เสือเหลืองทำได้ดีมากในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ และปราบทีมใหญ่ๆ มาเพียบ ดังนั้นจึงประมาทไม่ได้ รูปเกม มาดริด คงบุกใส่มากกว่า อยู่ที่ว่า ดอร์ตมุนด์ จะยันอยู่หรือไม่ และเกมโต้กลับจะคมแค่ไหน ซึ่งเทียบแล้ว ต้องยอมรับว่า นาทีนี้ หยุดยากมากๆ และพวกตัวจี๊ดอย่าง วินิซิอุส, จูด หรือ โรดรีโก คงประสานงานช่วยกันทำสกอร์ได้ ก่อนพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 15 ไปครอง
ผลที่คาด
รีล มาดริด ชนะ ดอร์ตมุนด์ 3-1