“คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ถึงสถานการณ์การเมืองของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปและเหตุใดถึงเกิดกรณีนี้ขึ้นมาได้ 

โดย “นายภูมิธรรม” เปิดประเด็น ว่า หากจะถามว่า สาเหตุเกิดจากอะไรนั้น จริงๆคำถามนี้คนที่ตอบได้ดีที่สุด น่าจะเป็น 40 สว.มากกว่า เพราะก็รู้อยู่ว่ากำลังทำอะไร และการยื่นเรื่องเช่นนี้มีอะไรเคลือบแฝงหรือแอบแฝงหรือไม่  แต่หากจะถามว่าเหตุผลอะไรที่ 40 สว. ออกมาทำเช่นนี้ ขอไม่พูดและที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า 40 สว. มาจากขั้วอำนาจเก่านั้น มองว่าตอนนี้ขั้วอำนาจไม่มีเหลือแล้ว เพราะการที่รัฐบาลรัฐบาลเข้ามาและจัดการปัญหาของประเทศ จนสามารถมาควบรวมกันได้ ซึ่งต้องมองว่า 40 สว. เป็นใครมาจากไหนและมีจุดยืนอย่างไร ตรงนี้ตนขอไม่วิจารณ์ แต่เชื่อว่าประชาชนจะรู้ได้อยู่แล้ว

@ตอนนี้ปัญหาที่พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญคือเรื่องวิกฤติศรัทธาที่กำลังลดลง มองว่าเรื่องพรรคเพื่อไทยครวจะทำแก้ปัญหาอย่างไรนั้น

ต้องดูว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยถูกกระทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ อย่าใช้เพียงทัศนคติหรือความเชื่อ แต่ต้องดูถึงความเป็นจริง และถามว่าตัวเลขความเป็นจริงที่ทางสถาบันพระปกเกล้าเปิดเผยออกมานั้น มองว่าจริง แต่ใช่สถานการณ์ปัจจุบันไหมก็ไม่ใช่ เป็นเพียงสถานการณ์ที่ต่อเนื่องมาจากการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีดราม่ากันมาเยอะ แต่หากถามว่าความนิยมเสื่อมไป  และจะต้องมีการทำอะไรใหม่ๆหรือไม่ ยังมีเวลาอีกนานที่จะพิสูจน์ว่าความนิยมของใครยังมีอยู่ พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย เรามีประสบการณ์อยู่แล้ว ยังแข็งแรงพอ

@จากการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเคลื่อนไหวยิ่งทำให้คะแนนนิยมลดลงจริงหรือไม่ ควรจะมีการปรับยุทธวิธีใหม่หรือเปล่า

เรื่องนี้พูดยาก เพราะตอนนี้นายทักษิณไม่ได้มีบทบาทในพรรคการเมือง แต่เป็นคนที่มีคุณประโยชน์ วุฒิภาวะ และมีประสบการณ์ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งการลงพื้นที่ของนายทักษิณก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือสำคัญเป็นเพียงการกลับมาของคนธรรมดา เหมือนประชาชนทั่วไปเพียงแค่ติดเงื่อนไขอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระ แต่ทุกอย่างก็อยู่ในกรอบของกฎหมายและการเคลื่อนไหวของนายทักษิณไม่ได้มีการเกี่ยวพันกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง

นายทักษิณเกี่ยวพันกับพรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นคนก่อตั้งพรรคเพื่อไทยเท่านั้น อีกทั้งนายทักษิณก็ไม่ได้มีการไปพูดหาเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยหรือการทำงานของรัฐบาล  มองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติคนเรากลับมาคิดถึงเพื่อน คิดถึงคนรักคิดถึงครอบครัว หรืออยากจะเปิดหูเปิดตา และเป็นเคลื่อนไหวในขอบเขตของคนทุกคนที่จะรับได้ และเคลื่อนไหวไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์คนหนึ่ง ส่วนที่มองว่าขณะนี้คะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยกำลังลดลงจำเป็นไหมที่จะต้องทำการปรับยุทธศาสตร์ของพรรค การปรับยุทธศาสตร์ของพรรคนั้น เราทำอยู่แล้วไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบกับใคร

@หากมีอุบัติเหตุทางการเมืองจากรณีการตั้ง นายพิชิต พรรคเพื่อไทย จะเดินเกมอย่างไร การเมืองจะเปลี่ยนมือเปลี่ยนขั้วหรือไม่

ไม่อยากจินตนาการไปถึงขั้นนั้น เพราะไม่แน่ใจว่าความจริงๆจะเป็นอย่างไร และการที่เลือก นายพิชิตขึ้นมานั้นเราได้ใช้ความระมัดระวังอย่างรอบครอบแล้ว และได้สอบถามไปยังกฤษฎีกา และการที่จะแต่งตั้งใครขึ้นมาก็ได้ส่งไปยังกฤษฎีกาทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนเดียว และหากมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะอย่างน้อยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก็ต้องทำการทักท้วงขึ้นมา ซึ่งกระบวนการทุกอย่างได้ถูกต้อง คิดว่าประเด็นในทางกฎหมายก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่มีอยู่คือปัญหาทางการเมือง ซึ่งหน่วยงานที่เป็นผู้ตัดสินคือ ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจตรวจสอบ และนายกรัฐมนตรีก็ใช้สิทธิ์ตามกระบวนการ

ส่วนการเมืองขณะนี้จะมีการเปลี่ยนขั้วหรือไม่ ตนมองว่าอย่างเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องดูความนิยมขณะนั้นว่าเป็นอย่างไรจับขั้วกันในแบบไหน แล้วจะสามารถทำอะไรให้ประเทศได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือการดูว่าคะแนนเสียงจะมาจากด้านใด และจะจับคู่อย่างไรเพื่อให้เกิดการร่วมมือกันได้ และในทางการเมืองไม่มีอะไรสุดขั้วเพราะแต่ละพรรค ก็ยังไม่เคยมีใครได้เสียข้างมากอย่างแท้จริง

เราจะร่วมมือหรือไม่ร่วมมือเพื่อจัดตั้งรัฐบาลกับคนนั้นคนนี้ ผมมองว่าไม่ใช่เวลาที่ที่จะมาพูด และไม่เข้าใจว่าคนพูดต้องการอะไร วันนี้หากเรากำลังทำงานแล้วมองไปข้างหน้าว่าการทำงานจะมีผลไม่ดี แล้วมาวิพากษ์วิจารณ์ตรงนี้มองว่าถูกกาลเทศะ แต่การที่คนออกมาพูดเพื่อต้องการทำให้ตัวเองโดดเด่น เกินกว่าความเป็นจริงในปกติ ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ขอให้ไปวัดกันในอีกสี่ปีข้างหน้า ให้ทำงานก่อน เมื่อครบสี่ปีแล้วค่อยมาพิสูจน์ว่าล้มเหลว ก็โอเค”

@ ขณะนี้พรรคก้าวไกลพรรคออกมาประกาศไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทย

ก็เป็นความคิดเห็นของพรรคก้าวไกล ซึ่งก็เคารพความคิดเห็นนี้แต่ว่า หากผมได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาลจะมีใครร่วมมือกับผมบ้าง น่าจะถามคำถามนี้มากกว่า เพื่อที่จะได้นำไปปรับปรุงและหาคนมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ ในวันนี้ยังไม่ได้คิดว่าจะร่วมมือหรือไม่ร่วมมือกับพรรคก้าวไกล เพราะวันนี้พรรคที่ทำงานร่วมกันอยู่ก็ทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีและมีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ และสิ่งที่พรรคก้าวไกลพูดมาก็เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล ไม่ได้มีความหมายอะไร และให้ไปดูก่อนว่าตัวเองจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่เพราะการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่รู้ว่าจะมาอันดับ 1 หรือ อันดับ 2

@ กรณีคดีอัยการสั่งฟ้องดคี112 นายทักษิณ จะมีผลกระทบกับพรรค หรือไม่

 มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมีคนร่วมสงสัยว่ามีปัญหาก็ส่งเรื่องไปให้อัยการ ซึ่งอัยการก็มีอำนาจการตัดสินใจที่จะสั่งฟ้อง ก็ต้องดูความเป็นจริง ซึ่งการตัดสินใจของอัยการไม่ใช่การตัดสินใจสูงสุดข้อยุติ จะต้องอยู่ที่ศาลเพราะฉะนั้นมีอีกหลายกระบวนการ และคนที่มีผลต่อพรรคเพื่อไทย คือ อยู่ที่ประชาชน ที่ขณะนี้มองว่ารัฐบาลจะสามารถช่วยแก้ไขได้ตรงไหน ดูว่าอะไรที่ทำแล้วให้ประโยชน์กับ ประชาชนได้ก่อนก็เร่งทำ ซึ่งยอมรับว่ามีอุปสรรคเยอะ ซึ่งก็ต้องสู้กัน และต้องเป็นไปตามขบวนการ เพื่อที่จะให้การทำงานการเมืองทำการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติให้เป็นไปตามความถูกต้องของกฎหมาย.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่