ขณะที่การเมืองในประเทศเจอเรื่องร้อนเหตุ“บุ้ง ทะลุวัง” เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ผู้ต้องขังคดีการเมืองที่เลือกวิธีการอดอาหารประท้วงในเรือนจำกรมราชทัณฑ์ 109 วัน จนร่างกายเข้าสู่ภาวะวิกฤติ และเกิดอาการหัวใจหยุดเต้นขณะถูกคุมขังอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) ราชทัณฑ์ ก่อนถูกนำส่งต่อมายัง รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี จนกระทั่งมาเสียชีวิตในวันที่ 14 พ.ค.2567เวลาประมาณ11.22 น.
ปลุกอารมณ์ ประชาธิปไตยของกลุ่มเด็กเฮี้ยวพุ่งทะลุปรอท โดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ออกแถลงการณ์ร่วมเครือข่ายองค์การนักศึกษา 45 องค์กร 10 มหาวิทยาลัยและภาคประชาชน ประณามความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมและการกระทำของรัฐที่ได้กระทำนิติสงคราม โดยละเลยหลักนิติธรรมและหลักการพื้นฐานของกฎหมาย
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ทบทวนการบังคับใช้กฎหมายภายใต้หลักนิติธรรม ให้ความสำคัญกับการจัดทำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้ครอบคลุมถึงคดีทางการเมืองทุกคดี ไม่เว้นแต่คดีตามมาตรา 112
ขอให้การเสียชีวิตของ “บุ้ง” เป็นการเสียชีวิตครั้งสุดท้าย ให้คืนความยุติธรรมกับผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองทุกคน ขอให้ความสูญเสียครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญแก่รัฐและสังคม ว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐจะอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนโดยยึดถือหลักการทางกฎหมายที่ถูกต้อง สังคมควรลดอคติที่มีต่อผู้เห็นต่างจากตนเอง การดำเนินคดีทางการเมืองกับผู้เห็นต่างไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตย
ด้าน “พรรคก้าวไกล” ต้องฝ่ากระแสยุบพรรคจำเป็นต้องออกโรง เรียกร้องให้ รัฐบาลปลดปล่อยนักโทษการเมือง ทั้ง “เดอะต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค พร้อมขุนพลของพรรคอย่าง รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เตรียมชงการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง โดยรวมกรณีที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 ควรจะเข้าข่ายได้รับนิรโทษกรรมเข้าไปด้วย เพื่อไม่ให้ผู้เห็นต่างทางการเมือง คดีผิดมาตรา 112 เสียชีวิตอีก
งานนี้”พรรคก้าวไกล”ได้จังหวะไม่รอช้า ชูโล๊ะคดี 112 เสนอไม่ควรตั้งต้นที่ประเภทคดี แต่ควรพิจารณาจากแรงจูงใจทางการเมืองที่เป็นต้นเหตุ และไม่ควรมีคดีใดตกหล่นจากการได้รับการนิรโทษกรรม
จากเหตุการณ์ “บุ้ง ทะลุวัง” ถือเป็นการสร้างบาดแผลให้ประชาธิปไตยให้กับคนไทย และจะกลายเป็นแรงเหวี่ยงกระชากศรัทธาพรรคเพื่อไทยให้ตกลงไปได้อีก ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงขาลงอยู่
พรรคเพื่อไทยต้องตั้งหลักเดินเกมวางหมากในกระดานให้ดี ไม่เช่นนั้นถูกฝ่ายประชาธิปไตยเอามาเล่นตีขลุมดึงเป็นเกมการเมืองตอกลิ่มถึงความตระบัดสัตย์ของพรรคเพื่อไทยที่พูดไว้เมื่อครั้งหาเสียง ว่า ถ้าเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมแต่ถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรขยับ
ต้องยอมรับว่าเรื่องการเสียชีวิตของ “บุ้ง ทะลุวัง” ก็ยังมีอีกกลุ่มที่เห็นต่าง โดยเห็นว่า ถ้าพูดถึงกระบวนการยุติธรรมเยาวชนกลุ่มนี้เคยได้รับการประกันตัวหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขต้องไม่กระทำการในลักษณะเดิมที่ขัดต่อกฎหมาย แต่ก็ยังมีการกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว
ด้วยความเฮี้ยวของเด็ก กับความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนประเทศแบบพลิกฝ่ามือ จึงเป็นการสร้างบาดแผลในใจให้กับคนไทย
ประเด็นการผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมคดี 112 ที่ผ่านมาเป็นปมร้อนที่มีความเห็นต่างที่พรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นดำเนินการแต่ยังไม่สำเร็จ
โดย “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ออกมายอมรับ พรรคพท.เคยขอแก้รัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะสิทธิการประกันตัว ยืนยันหลักการ บุคคลทุกคนบริสุทธิ์อยู่จนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำผิด การไม่ให้ประกันเป็นข้อยกเว้นมีได้เฉพาะกรณีผู้ต้องหาจะหลบหนีเท่านั้น แต่น่าเสียใจว่า ทำไม่สำเร็จ ทุกวันนี้ยังคงยืนยันในแนวคิดนี้ และยืนยันว่าควรต้องแก้รัฐธรรมนูญ แก้ป.วิอาญาเรื่องสิทธิการประกันตัว ถึงเวลาที่ควรปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบได้แล้ว
ส่วนการดึงคดีความผิดมาตรา 112 เข้ามาเป็นคดีการเมืองด้วยหรือไม่ “ชูศักดิ์” ชี้ว่ากมธ.ได้พิจารณามาอย่างต่อเนื่อง และกำลังร่อนตะแกรงหาจุดที่เหมาะสม เพราะคดี112 ไม่ได้เกิดมาจากแรงจูงใจทางการเมือง เรื่องนี้คงจะต้องมีการแก้ไขแต่คงไม่น่าจะเกิดขึ้นในได้ในเร็วๆนี้
ขณะที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกมาเปิดตัวเลขของประชาชนที่ถูกคุมขังในเรือนจำทั่วประเทศ ณ วันที่ 14 พ.ค.67 ในคดีการเมืองอย่างน้อย 43 คน เป็นคดีมาตรา 112 เกินกว่าครึ่ง คือ 25 คน โดยทั้งปี 2567 ยังไม่มีผู้ต้องขังได้รับอนุญาตให้ประกันตัวจากศาลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แล้ว (ยกเว้นกรณีที่ถูกคุมขังที่เรือนจำเพื่อรอฟังคำสั่งประกันครั้งแรก)
นับเป็นความขมขื่นของเด็กเฮี้ยวที่แบกความเปลี่ยนแปลงของประเทศเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความกดทับจนใกล้ถึงจุดระเบิดในเร็ววันนี้
จึงต้องติดตามต่อไปว่ารัฐบาลผสมสูตรพิสดารจะเอาอยู่หรือไม่ เพราะสถานการณ์ในช่วงเวลานี้มีรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่นับวันจะร้อนขึ้นเรื่อยๆส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ“รัฐบาลเศรษฐา” เช่น ปัญหาเรื่องกัญชาเห็นได้ชัดว่ามีการขบเหลี่ยมปีนเกลียวกับพรรคภูมิใจไทยเจ้าของนโยบายชูกัญชาเพื่อเศรษฐกิจ โดยผลักดันให้กัญชาออกจากบัญชียาเสพติดได้จนสำเร็จ
แต่ล่าสุดโดย “นายกฯเศรษฐา” ประกาศสวนทางให้ดึงกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดอีกรอบ คงต้องจับตาว่า “กัญชา” จะเขย่าให้รัฐบาลเมาหมัดจนซวนเซได้หรือไม่
เพราะ“สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ออกมาโดดรับลูก “นายกฯเศรษฐา” ขมีขมันต้องนำกัญชาขึ้นบัญชียาเสพติดและยาบ้าเม็ดเดียวก็ต้องติดคุกพร้อมยึดทรัพย์ปลายปีนี้รู้เรื่อง พร้อมแจงเมื่อครั้งที่อยู่กับ “รัฐบาลลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โหวตหนุนให้กัญชาออกจากบัญชียาเสพติดเป็นเพียงมารยาทพรรคร่วมรัฐบาล แต่เวลานี้เวลาผ่านไป 4 ปี เกิดมีข้อมูลใหม่ที่ต้องนำมาพิจารณา
ทำเอา “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ออกมาสวนทันควัน ว่า รักษามารยาท ต้องรักษากฎหมาย และประโยชน์ประชาชนด้วย เป็นสัญญาณชัดถึงการโดดขวางในความคิดที่ยังมีความเห็นที่ต่างกันแง่มุมอยู่
นำสู่การขยับของ “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” ทักษิณ ชินวัตร ได้จังหวะออกจากถ้ำยกทัพคนเพื่อไทย เดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับ“เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เปิดร้านเยี่ยมใต้สาขา 2 พร้อมถ่ายรูปชื่นมื่น ซึ่งก็มีทั้ง “ทักษิณ ,อนุทิน,สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ , เยาวภา วงศ์สวัสดิ์,สมศักดิ์ เทพสุทิน, เกรียง กัลป์ตินันท์, พวงเพ็ชร ชุนละเอียด,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ร่วมอยู่ในเฟรมด้วย
ต้องดูว่า “ทักษิณ”จะเป็นมือกาวใจประสานรอยร้าวแบ่งผลประโยชน์กันได้ลงตัวหรือไม่ นอกจากนี้ต้องจับตาดู “ทักษิณ”จัดเตรียมค่ายกลปูพรมลงพื้นที่รัวๆ หวังปลุกกระแสเรียกศรัทธาฟื้นคืนเพื่อไทย
เพราะเร็วๆนี้จะมี 2 สนามที่พรรคเพื่อไทยต้องขยับ คือ 1.สนามเลือกสว.ที่กระบวนการจะเริ่มรับสมัครแล้วในวันที่ 20-24 พ.ค.67 โดยกกต.ปักธงประกาศผู้ได้เป็นสว.ในวันที่ 2 ก.ค.67 และ 2.สนามเลือกตั้งนายกอบจ.ที่จะหมดวาระปลายเดือนธันวาคม67นี้ และกำหนดการเลือกตั้งน่าจะอยู่ช่วงประมาณต้นปี 2568
ซึ่ง 2 สนามนี้ถือเป็นการวัดเกมพรรคเพื่อไทย ว่า จะจัดทัพพลิกเกมชิงแต้มเสริมทัพรัฐบาลอยู่ยาวได้อย่างไร อนาคตการเมืองจะอยู่แบบเพื่อไทยฟรีเวอร์ได้หรือไม่
ถ้าพรรคเพื่อไทยเล็งถึงผลระยะยาวขณะนี้ คือ การเร่งฟื้นเศรษฐกิจ แต่นโยบายเรือธงของรัฐบาล เช่น โครงการดิจิทัล 10,000 บาท ค่าแรง 400 บาท ก็ยังขลุกขลัก ขณะที่สัญญาณนโยบายด้านการเงินในเรื่องการลดดอกเบี้ยก็ยังโดนขวางโดย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร์ หน.พรรคเพื่อไทย ต้องออกมาส่งสัญญาณความอิสระของแบงค์ชาติเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ
ดังนั้นจึงต้องหาแนวทางการทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน มีความเห็นที่สอดคล้องกับเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
จึงตกหนักที่“ขุนคลัง” พิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง จะเคลียร์ปมร้อนระหว่างรัฐบาลกับแบงค์ชาติ ได้หรือไม่ ล่าสุด เคลียร์ใจผู้ว่าฯแบงก์ชาติแล้ว โดยใช้เวลาคุยกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง และขุนคลังได้ ออกมาบอกว่า แนวทางเห็นตรงกันหลายเรื่อง ทั้งกรอบเงินเฟ้อ เร่งเสริมสภาพคล่องให้รายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน ส่วนดอกเบี้ยนโยบายเป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติไปทบทวนย้ำให้อิสระ หลังจากนี้แต่ละฝ่ายจะนัดคุยกันบ่อยขึ้น เพื่อทำงานให้สอบประสานกันมากที่สุด
สุดท้ายสถานการณ์บ้านเมืองจะจบอย่างไร ผลจะออกมาแบบไหน งานนี้ต้องรอดูอย่ากระพริบตา.