เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวสมิตระกูล รอง ผบช.ภ.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 5 สืบสวนจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งวัยรุ่น จำนวน 3 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน 5 พื้นที่
โดยคดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี นายบี (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี และ ด.ช.ซี (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี โดยการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากคืนวันที่ 11 พ.ค. 67 ได้มีนักศึกษา 2 คน สถาบันชื่อดังแห่งหนึ่ง กำลังเล่นสเก็ตบอร์ด บริเวณพื้นที่ของเอกชน อยู่ที่เขต ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ได้มีคนร้ายซึ่งเป็นชายวัยรุ่น จำนวน 3 คน ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาบริเวณลานสเก็ต ก่อนคนร้ายจะเห็นเหยื่อสองคนสูบบุหรี่พอตไฟฟ้า จึงถือมีดเข้าไปขอพอตดังกล่าว แต่สองนักศึกษาไม่ให้ คนร้ายทั้งสามจึงใช้มีดรุมทำร้ายทั้งสองแล้วชิงพอตไป โดยผู้เสียหายถูกมีดฟันเข้าที่หน้าบาดเจ็บสาหัส
หลังเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่จึงติดตามแล้วจับกุมตัวได้ และทราบว่านายเอ นั้นเป็นหัวหน้าแก๊งชื่อ “บัง” ที่ก่อเหตุรุมทำร้ายร่างกายประชาชนมาแล้วหลายคดี ทั้ง สภ.ดอยสะเก็ด สภ.หาดง สภ.ช้างเผือก และอยู่ในช่วงประกันตัว หลังถูกจับที่ สภ.หางดง เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนประกันตัวออกจากสถานพินิจ แล้วออกมาก็มาก่อเหตุซ้ำอีก
คดีที่ 2 ตำรวจสามารถจับกุมตัวนายบอย (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ จำนวน 5 ครั้ง โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 67 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง ครั้งแรก ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีชมพู ไปก่อเหตุที่เขต สภ.สันป่าตอง ไม่ได้ทรัพย์สิน ครั้งที่สอง ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ ไปก่อเหตุที่เขต สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 67 ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไปใช้ก่อเหตุ ในเขตพื้นที่ สภ.หนองตอง จ.เชียงใหม่ ได้ทรัพย์สินเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท และในวันเดียวกับวันที่ก่อเหตุครั้งที่สาม ไปก่อเหตุครั้งที่สี่ ในเขตพื้นที่ สภ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน และครั้งที่ห้า เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 67 ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไปก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองลำพูน แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน.