เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 7 มี.ค. ที่ สำนักงานกฎหมายทนายเดชา ซอยรามอินทรา 52/1 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร เจ้าของที่ดิน 600 ตารางวา ย่านเคหะปากเกร็ด ซื้อที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ปี 2503 จ่ายภาษีที่ดินทุกปี ไปล้อมรั้ว รางวัดเขตตลอด เข้าร้องนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ให้ช่วยหลังถูกชาวบ้านเข้ายึดที่ดินมรดกจำนวน 2 แปลง เพื่อปลูกที่อยู่อาศัย บริเวณสี่แยกปากเกร็ด เคยแจ้งความ สภ.ปากเกร็ดหลายครั้ง แต่คดีไม่คืบ
โดยนางรัตนา ชาญพาณิชย์สกุล อายุ 76 ปี เจ้าของที่ดิน กล่าวว่า ที่ดินทั้งสองแปลงพ่อแม่ของตนซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2503 แต่ไม่ได้เข้าใช้ทำประโยชน์เนื่องจากเป็นที่ดินตาบอดที่ติดกับการเคหะและหมู่บ้านจัดสรร ต่อมามีการส่งต่อให้ตนเเละน้องสาวคือนาง ศุภรดา ชาญพานิชย์สกุล อายุ75 ปี ในเดือน พ.ค. 2546 คนละแปลง แปลงละ 326 ตรว. ส่วนอีกแปลงหนึ่ง 327 ตรว. ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครเข้าใช้ประโยชน์และอยู่อาศัย จึงได้ขอรังวัดที่ดิน แต่ต่อมาในเดือน ก.ย. ปีเดียวกัน พบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในที่ดิน จึงไปแจ้งความที่ สภ. ปากเกร็ด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บอกว่าผู้บุกรุกได้ออกไปจากพื้นที่แล้ว
แต่ก็ยังมีผู้บุกรุกรายใหม่ที่เข้ามาอยู่แทนอยู่ตลอด ตนก็ได้แจ้งความดำเนินคดีในปี 2559 ,2565 และ2566 ซึ่งชื่อของผู้ที่ ถูกแจ้งความนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยส่วนตัวไม่เคยพบผู้บุกรุกหรือพูดคุยอย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงเป็นคนสืบหาข้อมูลให้ ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้ส่งเรื่องทั้งหมดให้อัยการเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อประมาณห้าปีก่อน ตนได้พยามเข้าไปเจรจากับผู้บุกรุก เพื่อขอให้เซ็นสัญญาเช่า แต่ผู้บุกรุกกลับไม่ยอม โดยอ้างว่าคนอื่นที่เข้ามาอาศัยก็ไม่ได้เสียเงิน ถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องเอา
นางรัตนา เปิดเผยว่า ตนไม่เครียด เพราะที่เป็นของตนเเละน้องสาวยังไงก็เป็นของเรา ซึ่งไม่ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเอากลับมาให้ได้ โดยตนอยากให้คู่กรณีมีสำนึกบ้าง อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาตนก็ได้มีการเสียภาษีที่ดินอยู่ตลอดทุกปี รวมทั้งได้มีการเข้าไปวัดสอบถามเขตอยู่ตลอดเช่นกัน และเมื่อเดือน ก.พ. 67 ตนได้มีการเข้าไปประเมินราคาที่ดินทั้งสองแปลง อยู่ที่แปลงละประมาณ 3.4 ล้านบาท ดังนั้น แม้ตนจะไม่เข้าใช้ประโยชน์ ก็ไม่ได้ละทิ้งที่ดิน
ด้าน ทนายเดชา กล่าวว่า ฝากถึงคนที่เข้าไปครอบครองปรปักษ์ ว่าอะไรที่ไม่ใช่ของตนก็อย่าไปอยากได้ รวมถึงนักกฎหมาย อย่าไปใช้ช่องทางกฎหมาย ฟ้องร้องปรปักษ์ ให้ระวังบาปบุญคุณโทษ และมีจริยธรรม ซึ่งหากมีการตรวจสอบก่อนยื่นคำฟ้องครอบครองปรปักษ์ ก็ต้องรู้ว่าทุกที่ดินมีเจ้าของและการเสียภาษีที่ดินทุกปี ดูอย่างคดีบ้านอากู๋เป็นตัวอย่าง เพราะว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา จึงขอเตือนให้ถอนคำร้องไปดีกว่า
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปราญชา รุ่งทรัพย์ ทนายความฝั่งคู่กรณีให้ข้อมูลว่า ลูกความตนเองเป็นคนไม่มีฐานะ ได้รับการแนะนำกันมา จึงอาสาเข้ามาช่วยคดีนี้ ซึ่งในที่ดินข้อพิพาท มีการติดตั้งน้ำและไฟฟ้า และมีผู้อยู่อาศัยหลายรายโดยปลูกบ้านขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่งได้รับรูปถ่ายมาแล้ว และย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน เจ้าของที่ดินได้ติดต่อผู้ที่อยู่อาศัยเพื่อทำสัญญาให้เช่าหรือสัญญาเกี่ยวกับการให้อยู่อาศัย แต่ผู้อาศัยนั้นไม่ยินยอม และอ้างว่าอยู่มาแล้ว 30 ปี ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปพิสูจน์ในภายหลัง ซึ่งการครอบครองปรปักษ์นั้น ผู้ร้องจะต้องแสดงเจตนาเป็นเจ้าของเข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ ยังคงยืนยันจะฟ้องร้องครอบครองปรปักษ์ต่อไป โดยยึดตามเจตนาของหลักกฎหมายที่ผู้แสดงสิทธิ์เข้ามาครอบครอง.