ใจฟูกันอีกรอบกับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ “พ่อทิม”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 ชี้ขาด “พิธา” พ้นบ่วงกรรรมคดีถือหุ้นสื่อไอทีวี (บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน)) เนื่องจากเหตุไอทีวีได้หยุดกิจการ ไม่มีสิทธิประกอบกิจการสื่อนับตั้งแต่ 7 มี.ค.50 หลัง สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)บอกเลิกสัญญา รายได้มีแต่มาจากการลงทุนกับดอกเบี้ย ไม่เข้าลักษณะต้องห้าม ทำให้ไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพสส.
ทำเอาโมเมนตัมทางการเมืองขยับ แสงสปอร์ตไลท์ ทุกตัวส่องมาที่พรรคก้าวไกล กับการเดินเกมต่อยอดสู่สงครามเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่บรรดาแกนนำพรรคก้าวไกลตั้งเป้าเก้าอี้สส.ส้มทั้งแผ่นดินทะลุเกิน 250 คน จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวแบบใจเกิน 100
เกมเปลี่ยน ที่มาเปลี่ยน จากสงครามที่ผ่านมาทำการเมืองแบ่งเป็นสองฟาก คือ “ พรรคเพื่อไทย + พรรคก้าวไกล” ปะทะ “พี่น้อง 3 ป + พรรคร่วมรัฐบาลเดิม”
มาตอนนี้หลังจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลผสมสูตรปรองดอง ผลักพรรคเพื่อไทยผสมพันธุ์กับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเขี่ยพรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ออกไปเป็นฝ่ายค้าน
เมื่อเกมเปลี่ยนพลิกพรรคเพื่อไทยไปร่วมวงกับพวกอนุรักษ์นิยม จากสีแดงกลายเป็นมีสีเขียวแซม ขณะที่พรรคก้าวไกลมีฐานคนรุ่นใหม่ เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจะเห็นกันแล้วว่า พรรคก้าวไกล มี สส.เขต ที่มีคะแนนนำมาเป็นอันดับ 1 จำนวน 112 ที่นั่ง ขณะที่คะแนนบัญชีรายชื่อ 14,438,851 เสียง ได้จำนวนสส.39 ที่นั่ง รวมมี สส.ทั้งหมด 151 ที่นั่ง
ถ้าดูจากบัญชีรายชื่อที่ผ่านมาได้ 14,438,851 เสียง และเพิ่มเติมเสียงคนรุ่นใหม่อีก4 ปีข้างหน้า แค่นี้คะแนนก็เต็มกระเป๋ายังไม่รวมกับเสียงคนเสื้อแดงที่มีแววโดดข้ามฟากมาเป็นดอมส้ม
ต้องยอมรับว่าภาพจำที่เกิดขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเพื่อไทย กลายพันธ์เป็นภาพแดงแซมเขียว โดยเฉพาะการตั้ง “สุทิน คลังแสง” เป็นรมว.กลาโหม และตั้ง “จิรายุ ห่วงทรัพย์” เข้ามาเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทหาร อยู่ฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด แต่ต้องมาพลิกขั้ว สวมบทบาทใหม่แสดงตัวออกมาเป็นเกราะคอยชี้แจงปกป้องกองทัพ ยืนซดทุกดอก “กองทัพข้าใครอย่าแตะ”
ล่าสุดโดนถล่มหนัก หลัง จิรายุ โพสต์คลิป ยกมือไหว้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชามาเผยแพร่บนโซเชียล ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยทำให้คนเสื้อแดง พร้อมเปลี่ยนใจตีจาก กลายเป็นด้อมส้ม เพราะเหตุการณ์จัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย โดยไปจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมของลุงๆ ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียรังวัด เสียฐานมวลชน ทำโมเมนตัมการเมืองของพรรคเพื่อไทยสั่นคลอน
แถมยังมาเจอ “พิธา” เปิดหน้าชนแบบปลดโซ่ตรวนไปหนึ่งคดี คัมแบคกลับมาทำหน้าที่สส. ทำเอาสภาคึกคัก เมื่อ “ทิมพิธา”ก้าวเข้าสู่ห้องประชุมสภาอีกครั้ง พร้อมให้สัมภาษณ์ ว่า ได้กลับมาสู่ไออุ่นที่คุ้นเคย หลังหายไปเป็นเวลา 6 เดือนคิดถึงบรรยากาศที่สภา เสียโอกาสเข้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แต่ก็ไม่เสียดายเพราะได้มีเวลาลงพื้นที่ไปพบประชาชนทำงานร่วมกับสส.ในพื้นที่
เกมนี้ถือเป็นเกมที่พรรคก้าวไกลแพ้ “3 ป” แบบราบคาบ และเจ็บช้ำที่สุดที่ถูกพรรคเพื่อไทย ที่ถีบออกจากขบวนขันหมาก
กลับมาคราวนี้ “พิธา” ประกาศจองกฐินตรวจสอบโครงการเรือธงของรัฐบาล 3 เมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการเงินดิจิทัลวอล์เล็ต 1 หมื่นบาท โครงการแลนด์บริดจ์ และโครงการซอฟพาวเวอร์ แถมยังตบท้ายว่า กลับมาครั้งนี้ถ้าจะออกไปอีกครั้งก็ต้องออกไปที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างเดียว ส่วนจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลอีกครั้งหรือไม่ ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการที่จะมีประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคในเดือนเม.ย.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพราะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ทำงานครบ 4 ปีตามวาระก็ต้องมีการเปลี่ยนกรรมการบริหารกันใหม่
แต่ขุนพลพรรคเพื่อไทยอย่างภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เดินหน้าสู้ประกาศชัด รัฐบาลก็ไม่ได้หวั่น ไม่มีผลกระทบอะไรต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย เพราะมั่นใจว่าประชาชนดูที่ผลงาน
ขณะที่ “นายกเศรษฐา” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ยังคงสวมบทเซลล์แมนเดินหน้าลุยปั่นงานไม่หยุด จนล่าสุดมีอาการป่วยทำเอาเสียฤกษ์เข้านอนทำเนียบรัฐบาล ที่กำหนดไว้ในวันที่ 24 ม.ค. แต่ไม่ยกเลิกงานดินเนอร์กับพรรคร่วมรัฐบาล ที่“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย เป็นเจ้าภาพนัดเลี้ยงอาหารค่ำที่ร้านอาหารบ้านตานิด อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ในค่ำของวันที่ 25 ม.ค. บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น นับว่าเป็นการร่วมรับประทานอาหารกันของพรรคร่วมรัฐบาลครั้งที่ 2 และครั้งนี้ก็ได้มี “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) มาร่วมด้วย ทามกลางข่าวลือรัฐบาลจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้ แต่“นายกฯเศรษฐา”ออกมาการันตีว่า ยังไม่มีการปรับครม.ในตอนนี้แน่นอน
รัฐบาลเดินหน้าทำงานมากว่า 4 เดือน โดยเฉพาะเรือธงทั้ง 3 โครงการ ยังเดินหน้าไปไม่ถึงไหน โดยเฉพาะโครงการเงิน ดิจิทัลวอล์เล็ตฯ ยังคงว้าวุ่นอยู่กับคำว่าวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลยังคงใช้หลังพิงข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นจังหวะที่รัฐบาลชิงลากยาว ทั้งๆที่หลายต่อหลายคนต่างยุให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจถ้ามั่นใจว่าเป็นประโยชน์กับประเทศชาติก็ ให้เร่งดำเนินการเดินหน้าต่อรออะไร
เกมนี้รัฐบาลนอกจากจะลากยาวแล้ว ยังเอาโครงการแลนด์บริดจ์มากลบ แต่ก็ยังเจอแรงสะดุดจากพรรคก้าวไกล ออกมาติงว่า เป็นแค่โครงการขายฝันและเงินลงทุน 1ล้านๆบาท จะได้ไม่คุ้มเสีย ถ้าจะมีการนำนักลงทุนมาลงทุนเกรงว่านักลงทุนหวังประโยชน์ ด้านอื่นมากกว่า จนทำให้ประเทศเสียประโยชน์ เพราะต้องยอมนักลงทุน
ส่วนซอฟต์พาวเวอร์ที่มีนางพญาแพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหอก ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพียงพอที่จะสร้างมูลค่าสินค้าไทย
งานนี้ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ” ต้องหันไปสำรวจตรวจดูตัวเองให้ดี หากจะอาศัยลูกขยันผิดที่ อีก4ปีก็จะไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล และคะแนนนิยมจะหลุดลอยไล่ตามพรรคก้าวไกลไม่ทันแน่นอน
ถึงแม้ “พิธา” จะมีอีกหนึ่งโซ่ตรวน คือ คดี112 ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจาและลงมติในวันพุธที่ 31 ม.ค.นี้ กรณี“ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ทนายความอดีตพระพุทธะอิสระ ยื่นร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ นายพิธา และพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
หากศาลวินิจฉัยให้ยุติการกระทำก็ยังไม่ส่งผลกระทบทันทีต่อ “พิธาและพรรคก้าวไกล” แต่จะเป็น“หัวเชื้อ”ให้นักร้องนำไปยื่นต่อ กกต. เพื่อขอยุบพรรคอีกระลอก ว่า การหาเสียงให้แก้ไข มาตรา 112 เป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) (2) หรือไม่ เพราะคำร้องของ “ธีรยุทธ” เพียงแค่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการกระทำเท่านั้น
สถานการณ์ตอนนี้แม้นว่าเพิ่งเริ่มต้นยังมีเวลากว่าจะถึงสงครามครั้งใหม่ในการเลือกตั้งอีก4ปีข้างหน้า แต่ถ้า “รัฐบาลเพื่อไทย”ยังไม่เริ่มนับหนึ่งตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่จะถึง 10 ที่สำคัญคนไทยทั้งประเทศ รอจับต้องผลงานของรัฐบาล รอการกระตุ้นเศรษฐกิจ รอที่จะมีกินมีใช้ เรื่องเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลเร่งหาหนทางปั่นผลงานให้ออกโดยเร็ว และยิ่งเคยสัญญาไว้ก็ต้องทำให้ได้