โครงการริเริ่มดังกล่าว ซึ่งนำร่องโดยสมาคมกีฬาตกปลาแห่งชาติ “สปอร์ตฟิสการ์นา (Sportfiskarna) เมื่อปี 59 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศที่ตกอยู่ในอันตราย ได้รับการยกย่องจากบรรดานักสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ต้นไม้ทุกต้นมาจากผู้ค้าปลีก ซึ่งซื้อต้นคริสต์มาสที่ไม่ถูกพ่นยาฆ่าแมลง

เมื่อไม่กี่วันก่อน ต้นคริสต์มาสเหล่านี้ตั้งอยู่ในบ้านอันอบอุ่นทั่วกรุงสตอกโฮล์ม แต่ในตอนนี้ ของตกแต่งแสนสวยงามต่าง ๆ ถูกแทนที่ด้วยก้อนหินหนัก ก่อนที่ต้นไม้จะถูกโยนลงจากเรือ สู่น่านน้ำนอกเขตอุตสาหกรรมฮัมมาร์บี สยอสแตด

“บริเวณนี้มีการก่อสร้างเยอะมาก มีเรือแล่นเข้าออกจำนวนมาก แต่พืชพรรณกลับมีไม่มากนัก ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งอยู่อาศัยสำคัญมากสำหรับปลาที่จะวางไข่ ซึ่งพวกมันหายไป” นางมาลิน คเยลลิน หัวหน้าโครงการของสปอร์ตฟิสการ์นา กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำที่อยู่อาศัยกลับมาตามธรรมชาติเป็นเรื่องที่ยากมาก และนี่เป็นวิธีทดแทนสิ่งที่สูญเสียไป

นับตั้งแต่ปี 2559 ต้นไม้มากกว่า 1,000 ต้น ที่รวบรวมหลังเทศกาลคริสต์มาส ถูกทิ้งลงแม่น้ำในจุดต่าง ๆ ซึ่งคเยลลิน อธิบายว่า มันเป็นสถานที่ดีเยี่ยมสำหรับการวางไข่ของปลา และที่หลบภัยชั้นยอดของลูกปลา อีกทั้งคลิปวิดีโอใต้น้ำที่บันทึกไว้ในปีที่แล้ว ยังเผยให้เห็นกลุ่มตัวอ่อนของปลา เกาะอยู่ตามกิ่งก้านของต้นคริสต์มาสด้วย

“เราเห็นแล้วว่ามันใช้งานได้จริง” นางอีวอนน์ บลอมแบค จากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ) กล่าว “ปลาเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อระบบนิเวศในทะเลบอลติก เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหาร ที่ช่วยควบคุมปริมาณสาหร่ายในน้ำ”

บลอมแบค ระบุเสริมว่า การใช้ปุ๋ยมากเกินไป อันเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ในพื้นที่เกษตรกรรม เป็นปัญหาทั่วทั้งทะเลบอลติก เนื่องจากมันทำให้สาหร่ายขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ปลาในพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้ชายฝั่งหลายแห่งประสบปัญหาในการอยู่รอด

อนึ่ง วันที่ 13 ม.ค. ของทุกปี ถือเป็นวันสิ้นสุดการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ สำหรับภูมิภาคสแกนดิเนเวีย ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว มันก็เป็นวันที่ประชาชนจำนวนมากโยนทิ้งต้นคริสต์มาสจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

ด้าน นางคามิลลา ฮอลล์ สตรอม ชาวสวีเดน วัย 63 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงสตอกโฮล์ม กล่าวขณะโยนต้นคริสต์มาสใส่จุดรวบรวมของโครงการรีไซเคิลว่า การค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก

นอกจากนี้โครงการริเริ่มข้างต้นยังขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของสวีเดนแล้ว ซึ่งคเยลลินหวังว่าจะมีคนทำเช่นนี้มากขึ้น เพราะมันสามารถทำได้ด้วยตัวเอง.