สถานการณ์ในประเทศขณะนี้เหมือนตกอยู่ในวงล้อมกับดักอันตรายทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ทั้งเรื่องวงล้อมกับดักอำนาจ วงล้อมกับดักกฎหมาย
ส่วนที่เขย่าขวัญคนไทยในเรื่องความปลอดภัยในชีวิติและทรัพย์สิน กรณีเกิดเหตุโรงงานพลุระเบิด ที่ตำบลศาลาขาว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี แบบราบเป็นหน้ากลอง มีผู้เสียชีวิตสิ้น 23 ศพ แรงระเบิดชีกร่างผู้เสียชีวิตกระจัดกระจาย พบร่างที่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลได้ 20 ร่าง ส่วนอีก 3 ศพ อยู่ระหว่างทีมนิติเวชของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ดำเนินการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสะยอง ทำเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพึ่งตื่น ออกมาตรการล้อมคอก ทั้งที่เหตุการณ์พลุระเบิดเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน จากที่มูโนะ สู่สุพรรณ พลุระเบิดซ้ำซาก ประชาชนช้ำใจ
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าเศร้าสลด คือ เหตุการณ์ของ 5 เยาวชนรุมทำร้ายและสังหาร “ป้าบัวผัน” หญิงป่วยจิตเวช อายุ 47 ปี อย่างเหี้ยมโหดทารุณ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยตกอยู่ในกับดับของความเสื่อมโทรม ทั้งด้านครอบครัว การศึกษา และชุมชน เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องใส่ใจ และนำเคสเหล่านี้มาศึกษา ถอดบทเรียน แก้ปัญหาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคม ร่วมกันสร้างสังคมให้น่าอยู่ ไม่ใช่ว่าเป็นลูกหลานตำรวจ หรือลูกผู้มีอำนาจแล้วจะสามารถทำร้ายใครต่อใครได้โดยไม่มีสามัญสำนึก เพราะชีวิตของทุกคนมีคุณค่าความเป็นมนุษย์ เท่าเทียมกัน
ขณะที่แวดวงการเมืองก็ตกอยู่ในวังวนติดกับดักกฎหมาย โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ชูนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอล์เลต 1หมื่นบาท เป็นเรือธง ขึ้นเวทีสัญญากับประชาชน ว่า จะผลัดดันเงินหมื่นใส่กระเป๋าคนไทย เพื่อกระชากเศรษฐกิจให้ฟื้นฟู ดันจีดีพีแบบพุ่งๆ
แต่สภาพ “รัฐบาลเศรษฐา ”ขณะนี้ก็ตกอยู่ในวงล้อมความเห็นต่าง ทั้งสว.ตัวตึงที่จ้องจองกฐิน เปิดอภิปรายทั่วไป ขณะที่ผู้ว่า ธปท. “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” สวมบทแข็งไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินหมื่นแบบทุกคนตามที่ได้หาเสียงไว้ อีกทั้งยังเห็นว่าสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของไทยยังไม่วิกฤติ
แถมคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ยังให้ความเห็นแบบลูกผีลูกคน โยนรัฐบาลไปใช้ดุลยพินิจตามกรอบของกฎหมาย ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่ว่างไว้พร้อมกับรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน ไม่ผิดวินัยการเงินการคลังก็สามารถทำได้
แต่ที่สำคัญ คือ ความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ล่าสุด คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน ได้สรุปผลการศึกษาเรื่องความเสี่ยงการดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ดันมีเอกสารหลุดออกมาก่อนที่จะถึงมือรัฐบาล โดยชี้ว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทไม่เห็นของดีมีแต่ของเสียพบช่องโหวเยอะ
1.พรรคเพื่อไทยหาเสียงโดยไม่มีความพร้อม 2.โครงการดิจิทัลฯนี้แบกความเสี่ยงมีผลเสียมากกว่าผลดี เปรียบได้กับนโยบายขายฝัน ที่สำคัญยังพบช่องโหว่ในการเอื้อทุจริตเชิงนโยบาย 3.ส่อขัดกฎหมายหลายฉบับ ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจ ยังไม่เข้าวิกฤติร้ายแรง ยังไม่จำเป็นต้องกู้มาแจก ควรจะแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
ยังเจอ “ไหม”ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ออกมาดักคอรัฐบาลด้วยว่า อย่าใช้องค์กรอิสระมาเป็นหลังพิง หาข้ออ้างนำไปสู่ทางลงไม่ทำโครงการนี้ เพราะป.ป.ช.ส่งสัญญาเตือนอันตราย พร้อมไล่บี้ถ้า”รัฐบาลเศรษฐา” หากดันโครงการต่อไปไม่ได้ก็ควรออกมารับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพราะเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล
เล่นเอา “รัฐบาลเศรษฐา” ไปไม่เป็นสั่งเบรกประชุมเลื่อนถก คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต หรือบอร์ดดิจิทัลวอลเล็ต แบบไม่มีกำหนด ออกลีลาพลิ้วยื้อเวลาตามสไตล์ของพรรคเพื่อไทย บอกรอพิจารณาความเห็น ป.ป.ช.ประกบคู่กฤษฎีกา แต่ก็ยังย้ำว่ารัฐบาลมีความชอบธรรม เดินหน้าไม่มีล้มเลิก เพราะได้มีการแถลงต่อรัฐสภาไปแล้วอย่างถูกต้องตามกระบวนการของกฎหมายที่จะดำเนินการตามนโยบายนี้
. ขณะที่“นายกฯเศรษฐา” ลั่น แจกเงินดิจิทัลไม่มีทุจริต 100 % เหตุใช้เทคโนโลยีส่งเงินตรงเข้ากระเป๋าปชช. อย่าพูดลอยๆ ว่ามีทุจริต แจงพร้อมอธิบายหากมีข้อกังขา ยอมรับไทม์ไลน์อาจขยับจากพ.ค. จ่อคุยพรรคร่วมหลังข้อมูลครบ
“เสี่ยหนิม” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง หนังหน้าไฟต้องออกมายืนยันว่า รัฐบาลเพื่อไทย เดินหน้าไปต่อยังไม่ถอย พร้อมยอมรับว่า อาจไม่ทันเดือนพ.ค. เพราะจำเป็นต้องแก้ไขในรายละเอียด การออก พ.ร.บ.กู้เงินมีอุปสรรคหลายด้าน ด้วยเงื่อนไขเวลาถือว่าตึงมาก และเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน จะถึงเดือน พ.ค.67 ต้องรอเอกสารความเห็นจาก ป.ป.ช.เพราะจากที่สมาชิกวุฒิสภา(สว.) หยิบยกหนังสือของ ป.ป.ช. มาแถลงรายละเอียดเขียนค่อนข้างชัดเจนและแรงพอสมควรในการคัดค้านการเดินหน้าโครงการแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารที่เป็นจริงหรือไม่
นอกจากนี้“เสี่ยหนิม” ซัดกฤษฎีกา–ป.ป.ช.-ธปท.มีธงไม่ให้โครงการนี้เดินหน้า จริงๆ วิกฤตนี้ไม่ใช่วิกฤตการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นวิกฤตแห่งความเห็นอกเห็นใจประชาชน ไม่ได้ดันทุรัง เป็นภาระที่ต้องทำหลังการเลือกตั้งและแถลงนโยบายต่อสภา ขอฝ่ายค้านอย่าใช้ ป.ป.ช. เป็นเครื่องมือทำลายรัฐบาล
เรือธงนี้ ถือเป็นวิบากกรรมทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทย จะตัดสินใจอย่างไร ลุยไฟเดินหน้าไปต่อก็เห็นคุกรออยู่เบื้องหน้า ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว จากโครงการจำนำข้าว ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำมาเป็นเรือธง ดังนั้นก็ควรดูให้รอบคอบอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ถ้ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าโครงการนี้ดีตอบโจทย์ประเทศสามารถกระชากเศรษฐกิจดึงประเทศออกจากหลุมดำ ขึ้นจากเหวลึกได้ ก็ต้องสวมบทแม่ทัพผู้กล้าหาญกล้า เสี่ยงเพื่อประชาชน ต้องกล้าที่จะผลัดดันและกล้าที่จะยอมรับผลของการตัดสิน เพราะถ้ามัว แต่ยึกยักก็จะถูกกับดักเหล่านี้กระตุกขา ผลงานไม่ออก เลือกตั้งครั้งหน้า ในสงครามครั้งใหม่ก็จะวิ่งตามพรรคก้าวไกลไม่ทัน
แต่นั่นยังไม่พอยังเจอปัญหาโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) หรือสะพานเศรษฐกิจ เชื่อมทะเลอันดามันและอ่าวไทย (จังหวัดระนอง – ชุมพร) เพื่อทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมขนส่งที่ “นายกฯเศรษฐา”ทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนออกไปขายฝันดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่กลับมาเจอพรรคก้าวไกลเตะตัดขา พร้อมกระซวกแบบจุกๆ เล่นดราม่า ยกคณะก้าวไกลลาออก จากคณะกรรมาธิการโครงการแลนด์บริดจ์ เพราะไม่อยากเป็นตรายาง ในการอนุมัติ รายงานฉบับนี้ เพราะเห็นว่า เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า และขอให้รัฐบาลกลับไปศึกษาใหม่ให้รอบคอบก่อนที่จะมีการโรด์โชว์ ทำอย่างนี้เท่ากับไปหลอกให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน แต่ “นายกฯเศรษฐา”ไม่สนเดินหน้าเพราะโครงการเดินหน้าผ่านกระบวนการต่างมาแล้ว
ขณะที่ฝ่ายค้านผนึกกำลังเตรียมเปิดศึกอภิปรายฯ โดย “เดอะต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประชุมร่วมกันกำหนดแนวทำงานร่วมกัน ตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะโครงการ แจกดิจิทัลฯแน่นอน
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยก็ต้องเจอวิบากกรรม จากรณี ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 ฟัน“ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม” ซุกหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ ให้ความเป็นรัฐมนตรีแม้จะไขก๊อกพ้นเก้าอี้เลขาฯพรรคภท.-สส.แล้ว ไม่น่าจบเพียงเท่านี้อาจจะลามไปถึงการยุบพรรคหรือไม่ กรณีเงินบริจาคที่หจก.บุรีเจริญฯนำไปบริจาคให้พรรคถือเป็นเงินไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และอีกวงล้อมที่จะถึงเร็วๆนี้ของพรรคก้าวไกลมีอีก 2 คดี ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำพิพากษาคดี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ถือหุ้นสื่อไอทีวีในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) ตามคำร้องที่กกต.ส่งมาหรือไม่ และในวันที่ 24 ม.ค.กรณีพิธา และพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่
อีกวงล้อมที่ประเทศยังก้าวไม่ข้ามคือกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมารับโทษนอนพักรักษาตัวอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจเกิน 120 วัน ที่ถูกสังคมไล่บี้ทวงถามถึงความเหลือมล้ำของกระบวนการยุติธรรมคุกมีไว้ขังคนจน ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ออกมารับว่า “ทักษิณ” เข้าข่ายเกณฑ์พักโทษ กรณีพิเศษ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องรุกไล่ต่อเนื่อง จะเป็นงานงอกข้าราชการต่อมาหรือไม่ต้องจับตาดูเดือนก.พ.นี้จะได้เห็น “ทักษิณ” กลับบ้านเลี้ยงหลานหรือไม่
เคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงทำให้อุณหภูมิร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆต้องจับตาความร้อนต่อจากนี้ “รัฐบาลเศรษฐา”จะหาทางออกลดดีกรีความร้อนลงได้หรือไม่ หรือมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเชื้อฟื้นเข้าไปให้กองเพลิงเป็นแรงดันให้ถึงจุดระเบิดเร็วขึ้น.