การรักษาโรคอีดีนั้นจะต้องแยกให้ได้ว่าปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับจิตใจหรือร่างกาย เพราะการรักษาจะแตกต่างกัน สำหรับในชายที่เข้าสู่วัยหลังอายุ 45 ปี มักจะมาจากปัจจัยทางร่างกาย โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงเช่นมีการสูบบุหรี่ ระดับไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สำหรับชายที่มีอายุเกิน 60 ปี อาจมีเรื่องของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนเข้ามาเกี่ยวข้อง ฮอร์โมนชนิดนี้มีผลต่อความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวยและความต้องการทางเพศโรคอีดีหรืออาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้รับการรักษาใช้ยาเฉพาะกิจตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน

ในปี 2549 พบว่ามีอัตราการปฏิบัติการใช้ยาสูงถึงร้อยละ 34.6 ทำให้สรุปได้ว่าประสิทธิภาพและความสำเร็จของการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ ระดับความรุนแรงและโรคร่วมที่แฝงอยู่ หลายท่านได้รับยาเฉพาะกิจโดยไม่ได้ตรวจร่างกายตามหลักการแพทย์ แต่โบราณแพทย์ได้รับการนับถือยกย่องจากคนไข้ เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่เพราะแพทย์จะตรวจแตะต้องคนไข้จับชีพจร วัดความดันมีความใกล้ชิด

การจับต้องตรวจตรงกล้ามเนื้อเพศเป็นความลำบากใจสำหรับแพทย์ ชายบางคนที่ไม่ได้ถุงมือจับตรวจกล้ามเนื้อเพศดูว่ามีก้อนเนื้อผิดปกติไหมตรวจดูหัวอวัยวะเพศ (Gland Penis) ว่าสีซีด เขียว หรือแดงจัด บริเวณหนังหุ้มปลายด้านในมีสีสดแบบเบาหวานหรือไม่ ล้วนแต่เป็นศิลปะทางการแพทย์ที่ช่วยวินิจฉัยหาสาเหตุระดับความรุนแรงและโรคร่วมแฝงอยู่ คนไข้ชายหลายท่านอายที่จะให้แพทย์ตรวจ ผิดกับผู้หญิงที่ใจกล้ายอมรับการถูกตรวจภายในจากแพทย์ว่าเป็นเรื่องปกติ การไม่ได้รับการตรวจก็จะไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรทำให้การรักษาบกพร่องได้ คนไข้ชายก็จำเป็นต้องตรวจภายในเช่นกัน เพื่อตรวจดูลูกอัณฑะ กล้ามเนื้อเพศและหนังหุ้มปลายมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพของโรคได้

การตรวจภายในจึงเป็นคำพูดที่ใช้กันทุกครั้งสำหรับการตรวจที่ครบถ้วน คนไข้ได้รับการตรวจแบบครบถ้วนจากแพทย์ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าคนไข้ได้รับความเข้าใจถึงประโยชน์การตรวจภายในของผู้ชายดีขึ้น คนไข้เริ่มจะเลิกอายแพทย์แล้ว แพทย์ก็มุ่งหวังความสำเร็จในการรักษาทางกายได้อย่างเต็มที่ คนไข้อีดีที่ไม่อายแพทย์ หากอ่อนตัวมาก แพทย์จะสอนการฝึกให้กล้ามเนื้อเพศแข็งตัวได้นาน 30 นาทีและแข็งตัวแบบร่วมเพศได้ด้วยการฝึกก็ง่ายและก็ใช้เวลา 2 ครั้งเท่านั้นก็ทำให้การฟื้นฟูการแข็งตัวในชายอีดีได้ผลอย่างเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก อายครูก็จะไม่รู้วิชา เป็นโทษแก่ตนเอง

———————–
ดร.อุ๋มอิ๋ม