แม้ประธานานธิบดียุน ซอก-ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ สั่งปราบปรามอาชญากรรมยาเสพติด เมื่อเดือย เม.ย. ปีที่แล้ว แต่ตัวเลขยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 22,393 คน ซึ่งพวกเขาถูกจับกุมระหว่างเดือน ม.ค. – ต.ค. 2566 เพิ่มขึ้นเกือบ 50% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
หน่วยสืบสวนยาเสพติดพิเศษ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามส่วนหนึ่งของแผนการปราบปรามอาชญากรรมยาเสพติด ระบุว่า 5% ของผู้กระทำผิดทั้งหมดเป็นวัยรุ่น ส่วนผู้ที่มีอายุในช่วง 20 ปี มีสัดส่วนมากถึง 30%
นอกจากนี้ ยาเสพติดที่กรมศุลกากรเกาหลีใต้ สามารถยึดได้ระหว่างการตรวจชายแดน ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 30% จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 เป็น 493 กิโลกรัม ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566
บรรดาผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า การใช้ยาเสพติดยังถูกห้ามอย่างมากในสังคมอนุรักษนิยมของเกาหลีใต้ แต่ความเครียดจากสังคมที่มีการแข่งขันสูง และการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการบริโภคยาเสพติดมากขึ้นตามมาด้วย ขณะที่ ดร.คิม ฮยอง-กึน ผู้อำนวยการสถาบันจิตวิทยาการเสพติดแห่งกรุงโซล กล่าวว่า การใช้ยาเสพติดของชาวเกาหลีใต้ มีแนวโน้มสูงมากในกลุ่มดารา เนื่องจากพวกเขาตกเป็นเป้าสายตาอยู่ตลอดเวลา
“ดาราคนดังได้รับความสนใจอย่างมากบนเวที แต่เมื่อลงจากจุดนั้น มันอาจทำให้พวกเขารู้สึกค่อนข้างว่างเปล่า ซึ่งความพยายามอย่างต่อเนื่องในการรักษาความนิยมของพวกเขา อาจก่อให้เกิดแรงกดดันที่มากเกินไป” คิม กล่าวเพิ่มเติมว่า คนที่มีความเครียดสูงมักถูกล่อลวงได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อว่า การเสพยาช่วยทำให้พวกเขาผ่อนคลาย จากเดิมที่เคยต่อต้าน ก็เริ่มหันมาลอง จนกลายเป็นการเสพติดในที่สุด
อนึ่ง เกาหลีใต้มีจุดยืนที่หนักแน่นเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติด และพลเมืองที่ถูกจับได้ว่ามีการใช้ยาเสพติดในต่างประเทศ อาจถูกดำเนินคดีเมื่อเดินทางกลับเกาหลีใต้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของยาเสพติด ซึ่งมีโทษปรับและโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ส่วนการลักลอบค้ายาเสพติด มีโทษจำคุกขั้นต่ำ 5 ปี จนถึงจำคุกตลอดชีวิต
ทั้งนี้ นายจอน คยอง-ซู ผู้ก่อตั้งและประธานสถาบันอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด กล่าวว่า รัฐบาลโซล ควรให้ความสำคัญกับการกำจัดยาเสพติดในภาคส่วนบันเทิง ซึ่งการจับกุมดารา ไม่เพียงพอที่จะยุติสงครามกับยาเสพติด และองค์กรภาครัฐที่มีอำนาจ คือสิ่งจำเป็นในการขจัดและถอนรากถอนโคนวัฒนธรรมยาเสพติดในธุรกิจบันเทิง
สำหรับคิม สิ่งที่สำคัญคือ การตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ เพราะแม้เป็นเรื่องจริงที่ความพยายามของรัฐบาล อาจไม่เพียงพอเสมอไป อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่า ปัญหาดังกล่าวกำลังได้รับความสนใจจากรัฐบาลนั้น ถือเป็นการพัฒนาเชิงบวกแล้ว.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP