ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวดังของวงการกีฬาโลก คือการได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำของ ออสการ์ พิสทอเรียส อดีตลมกรดพิการเจ้าของฉายา “เบลด รันเนอร์”

เจ้าของ 6 เหรียญทองพาราลิมปิกเกมส์ ถูกจองจำข้อหาฆาตกรรม รีวา สตีนคัมป์ แฟนสาว ในวันวาเลนไทน์ปี 2013 และหลังจากผ่านการพิจารณาคดีกันหลายรอบ สุดท้ายเขาโดนลงโทษจำคุก 13 ปี ก่อนจะได้ออกจากเรือนจำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังศาลอนุญาตให้เขาได้รับการพักโทษ หลังถูกจำคุกมาแล้วเกินครึ่งหนึ่งของโทษที่ได้รับ

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยังต้องถูกคุมประพฤติและรายงานตัวต่อศาล พร้อมข้อห้าม อาทิ การห้ามดื่มสุราหรือสารมึนเมาทั้งหลาย รวมถึงการห้ามให้สัมภาษณ์สื่อแล้ว จนกว่าจะพ้นโทษอย่างเป็นทางการในปี 2029

การได้รับการปล่อยตัวของ พิสทอเรียส ครั้งนี้ แบ่งความคิดของผู้คนทั้งในแอฟริกาใต้และผู้คนทั่วโลกออกเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งบอกว่าเห็นด้วย และควรให้โอกาสเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังได้ชดใช้กรรมมาพอสมควรแล้ว

ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า การที่ พิสทอเรียส ได้รับอิสรภาพในวัย 30 ปลาย ๆ เทียบกับอนาคตอันสดใสของ รีวา สตีนคัมป์ ที่ถูกตัดจบด้วยคมกระสุนในวัยแค่ 29 ปีแล้ว “เบลด รันเนอร์” ยังชดใช้กรรมไม่มากพอ

อย่างไรก็ตาม การได้รับการพักโทษของ พิสทอเรียส เป็นไปตามกฏหมายของแอฟริกาใต้ และสิ่งที่น่าติดตามหลังจากนี้คือ ชีวิตของ “เบลด รันเนอร์” จะเป็นอย่างไรต่อไป บางกระแสบอกว่าเขาอาจผันตัวไปเป็นบาทหลวง หลังจากพ่อของเขาเคยบอกว่าเจ้าตัวมีบทบาทในชุมชนคริสเตียนภายในเรือนจำ

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่หลายคนอยากรู้คือ หลังพ้นโทษอย่างเป็นทางการในปี 2029 พิสทอเรียส จะมีอิสระในการพูดทุกอย่าง ถึงตอนนั้นเขาจะทำอะไร พูดอะไรกับเรื่องนี้บ้าง

อย่างไรก็ตาม แม้ถึงเวลานั้น พิสทอเรียส จะได้รับอิสระอย่างเต็มรูปแบบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันวาเลนไทน์ 2013 ย่อมทำให้เขายังคงถูกคุมขังภายใต้คำว่า “ฆาตกร”

ไม่ต่างกับครอบครัว สตีนคัมป์ และคนที่รัก รีวา ที่แม้ในโลกแห่งความเป็นจริงจะมีอิสระ แต่ก็เหมือนถูกจองจำไปตลอดชีวิตจากความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนที่พวกเขารัก

เรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนชั้นดี ว่าอารมณ์ชั่ววูบและความรุนแรง ไม่เคยเป็นประโยชน์กับใครหน้าไหนบนโลกนี้อย่างแท้จริง…

ผยองเดช