เมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงปัญหาสถานีขนส่งหมอชิต 2 ว่า ขณะนี้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในบางส่วนแล้ว เหลือเพียงการแก้ไขปัญหาเรื่องบันไดเลื่อนเก่า ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลา เพื่อให้เกิดความยั่งยืน และมีความปลอดภัยระดับสูงสุด โดยปัจจุบัน บขส. อยู่ระหว่างการออกแบบให้มีความเหมาะสม ทั้งด้านจำนวน และตำแหน่ง รวมถึงการติดตั้งพัดลมระบายอากาศในพื้นที่ชานชาลาเพิ่มเติมด้วย
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคม รับทราบถึงปัญหาการเดินทางไปยังสถานีขนส่งหมอชิต 2 ที่เข้าถึงยาก และใช้พื้นที่ไม่คุ้มค่า รวมถึงปัญหาเรื่องคุณภาพของอาคาร ดังนั้นจึงเตรียมแนวทาง และแผนสำหรับการแก้ปัญหาสถานีขนส่งหมอชิต 2 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงคมนาคม ที่สนับสนุนให้การเดินทางในระยะใกล้ที่มีระยะทางไม่เกิน 200 กิโลเมตร (กม.) ใช้ระบบขนส่งรอง (Feeder) โดยรถ บขส. ถือเป็นระบบขนส่งรองประเภทหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อกับการขนส่งระบบรางที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งเป็นระบบหลักของการเดินทางระยะไกลที่มีระยะทางมากกว่า 200 กม.
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า กระทรวงคมนาคม ยังมีแนวคิดในการพัฒนาสถานีขนส่งกรุงเทพแห่งใหม่ เนื่องจากสถานีขนส่งหมอชิต 2 ในปัจจุบัน เป็นสถานีขนส่ง “ชั่วคราว” ย้ายมาจากหมอชิตเดิม ทั้งนี้จะพัฒนาเป็นอาคารสูงที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ได้อย่างสะดวก และมีอาคารแยกการให้บริการในแต่ละแนวเส้นทาง อาทิ อาคารเส้นทางสายเหนือ, สายตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน), สายใต้ และสายตะวันออก สำหรับรูปแบบในการพัฒนาสถานีขนส่งกรุงเทพแห่งใหม่นั้น ต้องออกแบบให้ผู้โดยสารสามารถเดินเท้าเชื่อมต่อระหว่างอาคารกับสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวก ซึ่งจะเชื่อมต่อโดยอุโมงค์ หรือทางเดินที่มีหลังคาคลุม
การให้บริการของรถ บขส. ต้องเป็นรูปแบบเดียวกันกับสนามบิน ต้องใช้ประตูทางออกร่วมกัน (Shared Gate) เพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพ โดยรถ บขส. ต้องเข้ามารับผู้โดยสารตามเวลาที่กำหนด และออกจากสถานีภายในเวลา เพื่อให้การให้บริการในเส้นทางอื่นๆ สามารถเข้ามาใช้ Gate ต่อเนื่องได้ อย่างไรก็ตามบริเวณสถานีขนส่งกรุงเทพแห่งใหม่ ต้องไม่มีอู่จอดรถในพื้นที่อาคาร โดยรถที่ให้บริการจะเข้ามารับ-ส่งผู้โดยสารตามเวลาเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาความแออัดของพื้นที่ และลดปัญหามลพิษ และที่สำคัญจะพัฒนาอาคารเป็น Mixed Use โดยมีการออกแบบอาคารให้ใช้ร่วมกัน เช่น ใช้พื้นที่ชั้นล่างเป็นสถานีรถโดยสาร และพัฒนาพื้นที่ชั้นบนเป็นสำนักงาน รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ และเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันจะจัดให้มีพื้นที่รอคอย และพื้นที่ซื้อตั๋วในตัวอาคาร พร้อมทั้งป้ายแสดงข้อมูลรถที่จะเข้ายังชานชาลาต่าง ๆ ในลักษณะ Shared Gate ดังเช่นต้นแบบในต่างประเทศ
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า การพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพแห่งใหม่ในอนาคต จะนำหลักคิดโดยให้การบริการประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา และออกแบบระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อสร้างความสะดวก สบาย รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพในราคาที่ถูก และเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขทุกภาคส่วน โดยการพัฒนาดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 ปี และจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการลงทุนที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเรื่องการจัดหาที่ดินมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่า บขส. มีทรัพย์สินในการบริหารจัดการ และมีสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนา จึงมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า รูปแบบการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพแห่งใหม่ หยิบยกโมเดลจากต่างประเทศ เพื่อนำมาประกอบแผนในการพัฒนาในประเทศไทย อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ณ สถานีฮากาตะ ที่พัฒนาสถานีโดยสารเป็นอาคารสูง และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟได้อย่างสมบูรณ์แบบ, สถานีโตเกียว ที่มีการพัฒนาสถานีโดยสารที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟโตเกียว เป็นต้น อย่างไรก็ตามในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดือน เม.ย.67 กระทรวงคมนาคมได้จัดเตรียมแผนรองรับการเดินทางของผู้โดยสารไว้แล้ว โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามความผิดเรียบร้อยแล้ว รวมถึงทำความสะอาดของห้องน้ำทั้งหมด และสั่งการให้ บขส. ติดตั้งไฟแสงสว่างให้ครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ พร้อมเตรียมเปิดจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้า เช่นเดียวกับช่วงเทศกาลปีใหม่ 67 ซึ่งช่วยลดความแออัดของประชาชนได้อย่างดี.