ด้วยมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐต่าง ๆ ส่งผลทางบวกต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากตลาดในประเทศแล้ว ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเอง ก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน ทาง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย ได้ศึกษาบทวิเคราะห์จากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ International Energy Agency (IEA) ถึงปัจจัยเกื้อหนุนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ตีพิมพ์ในรายงาน Global EV Outlook 2023 มีหลาย ๆ ประเด็นที่น่าสนใจ

ยอดอีวีทั่วโลกโตเกินเป้า

ในปี 65 ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 14% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด เติบโตจาก 9% ในปี 64 มีประเทศจีนเป็นผู้นำตลาด ครองส่วนแบ่งยอดขายถึง 60% ตามมาด้วยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่ครองส่วนแบ่ง 15% และสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับสาม มีส่วนแบ่งตลาดอยู่เพียง 8% แต่ในด้านการเติบโตกลับพุ่งสูงถึง 55% จากตัวเลขการเติบโตของ 3 ประเทศข้างต้น IEA คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ในปี 66 จะอยู่ที่ 14 ล้านคัน เติบโตขึ้นถึง 35% ผลักดันให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกขยับขึ้นเป็น 18% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด

แม้ว่าไทยจะไม่ได้มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงติดอันดับสามประเทศข้างต้น แต่ถูกกล่าวถึงในรายงานร่วมกับอินเดียและอินโดนีเซียว่า เป็นกลุ่มประเทศที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นเป็นสามเท่าในปี 65 โดยที่ประเทศไทย มีสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด มากกว่าอีกสองประเทศที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 1.5%

ปี 73 เปลี่ยนตลาดรถยนต์โลก 

สถาบัน IEA คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะมีสัดส่วนเป็น 35% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปี 66 โดยประเมินจาก Stated Policies Scenario (STEPS) หรือนโยบายประกาศจริงที่ประกาศโดยประเทศต่าง ๆ ที่สะท้อนและแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการกำหนดความต้องการในการใช้พลังงานประเภทต่าง ๆ ในปริมาณเท่าใด ในแต่ละช่วงเวลาของอนาคต

จากการคาดการณ์ของ IEA ประเทศจีน ยังคงเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 66 ส่วนแบ่งยอดขายจะลดลงไปอยู่ที่ 40% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ขณะที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะมีส่วนแบ่งตลาดเติบโตขึ้นมาที่ 25% เนื่องด้วยปัจจัยเกื้อหนุนจากชุดนโยบายด้านกฎหมายพลังงานและสภาพภูมิอากาศ “Fit for 55” ที่กำหนดมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรถยนต์ในปี 73 ให้ลดลงอยู่ที่ 55% และรถตู้ อยู่ที่ 50%

ในส่วนของประเทศไทยนั้น ปัจจัยเกื้อหนุนจากนโยบาย 30@30 โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี 2030 และมีการออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ระยะที่สอง หรือที่เรียกว่า มาตรการ EV 3.5 โดยให้เงินอุดหนุน รถยนต์ไฟฟ้า 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยมีอัตราอุดหนุนตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท

ผู้ผลิตเร่งพัฒนาอีวีรุ่นใหม่แข่ง 

ในปี 65 มีจำนวนรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในตลาดอยู่ที่ 500 รุ่น เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปี 61 ในประเทศจีนนั้น มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องนำเสนอรถยนต์ที่ราคาถูกลงมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นหลักในประเทศกลุ่มยุโรปเริ่มเดินเครื่องเข้ามาในตลาดนี้อย่างจริงจัง ทำให้ในระหว่างปี 65-66 ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายมีการประกาศข่าวเกี่ยวกับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ ๆ

ในส่วนของพฤติกรรมผู้บริโภคของตลาดรถยนต์ไฟฟ้านั้น รถยนต์ SUV และรถยนต์ขนาดใหญ่ เป็นตัวเลือกยอดนิยมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 65 โดยที่รถยนต์กลุ่ม SUV คิดเป็น 60% ของตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในตลาดของประเทศจีนและกลุ่มยุโรป และยังมีสัดส่วนที่สูงยิ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดย IEA ประเมินว่า จำนวนรถยนต์ SUV ในตลาด จะแทนที่การใช้นํ้ามันกว่า 150,000 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภท 2 ล้อ และ 3 ล้อ เป็นตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนยานยนต์สามล้อทั้งหมดที่จดทะเบียนในประเทศอินเดีย ในปี 2022 นั้น เป็นประเภทขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

นอกจากนี้การขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายังส่งผลให้ รถเพื่อการพาณิชย์ เริ่มปรับมาใช้เป็นแบบไฟฟ้ามากขึ้น โดยมีจำนวนรุ่นในตลาดอยู่ที่ 220 รุ่น ในปี 65 และปีเดียวกัน ยอดขายของรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCV) ที่ใช้ไฟฟ้าทั่วโลก มียอดขายเป็นจำนวนกว่า 310,000 คัน เติบโตขึ้นกว่า 90% เทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งในกลุ่มรถยนต์พาณิชย์ขนาดใหญ่ (HCV) ได้แก่ รถเมล์ไฟฟ้า มียอดขายอยู่ที่ 66,000 คัน คิดเป็นสัดส่วน 4.5% ของยอดขายรถประจำทางทั้งหมด และ รถบรรทุกหัวลากที่ใช้ไฟฟ้าทั่วโลก อยู่ที่ 60,000 คัน คิดเป็นสัดส่วน 1.2% ของยอดขายรถบรรทุกหัวลากทั้งหมด

แบตเตอรี่คือความท้าทายใหญ่

แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกคาดการณ์ว่าจะแทนที่การใช้นํ้ามันเชื้อเพลิง 5 ล้านบาร์เรล ในปี 73 ลดการสร้างมลพิษทางอากาศได้ถึง 700 เมตริกตัน แต่การที่ผู้บริโภคตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นนั้น ส่งผลให้อุปสงค์ของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 550 GWh ในปี 65 จาก 330 GWh ในปี 64 เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 65% อันเป็นผลให้อุปสงค์ของแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลัก (critical minerals) ของตัวแบตเตอรี่ Li-ion ประกอบไปด้วย ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล พุ่งสูงขึ้นเป็น 60% 30% และ 10% ตามลำดับ ดังนั้น ความต้องการแร่ธาตุ critical minerals ในตลาดโลกที่มากขึ้นโดยเฉพาะแร่ลิเธียม จะสร้างความท้าทายในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจะตอบสนองต่อเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมในอนาคตที่จะต้องลดการใช้แร่ธาตุดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่ทางเลือกแทนที่การใช้ลิเธียมไอออน กำลังเริ่มปรากฏขึ้นในตลาด อย่างเช่นแบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต (LFP) ที่เป็นแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม และแบตเตอรี่โซเดียมไอออนที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังถูกพัฒนาโดยประเทศจีน ถือเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนมากที่สุด โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 100 GWh

หลาย ปท. สกัดนำเข้ารถไฟฟ้า

ประเทศจีน นอกเหนือจากจะเป็นผู้เล่นใหญ่ในตลาดค้าปลีกรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จนทำให้หลาย ๆ ประเทศออกนโยบายส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ เพื่อลดการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า อย่างเช่น Net-Zero Industry Act หรือ กฎหมายว่าด้วยอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ที่ถูกเสนอโดย คณะกรรมาธิการยุโรป เมื่อเดือน มี.ค. 66 และมีเป้าหมายว่า ภายในปี 73 การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าภายในสหภาพยุโรป จะต้องมีกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 550 GWh เพื่อเติมเต็ม 90% ของอุปสงค์สำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ทางด้าน สหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากกฎหมาย IRA จะมอบเครดิตภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังมีการระบุเงื่อนไขที่เข้มงวดเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านเครดิตภาษี ว่าจะต้องมีการประกอบอยู่ภายในแถบอเมริกาเหนือส่งผลให้ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือน ส.ค. 65-มี.ค. 66 ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่หลายรายได้ประกาศว่า จะมีการลงทุนในการสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในทวีปอเมริกาเหนือ มีมูลค่าลงทุนรวมถึง 520,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตลาดอีวีไทยยังมีอุปสรรค

ในส่วนของประเทศไทยเอง นโยบาย 30@30 นอกเหนือจากจะมีการให้เงินอุดหนุน รถยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกาแล้วนั้น ยังมีการให้เงินสนับสนุนสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์แก่บริษัทต่าง ๆ ไปกว่า 14 โครงการ เพื่อส่งเสริมการสร้างกำลังการผลิตให้ถึง 40 GWh ภายในปี 73 เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของนโยบาย คือการผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ 30% ของยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ ภายในปี 73 หรือประมาณ 7.25 แสนคัน

ถึงแม้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมจะมีทิศทางสดใส ทั้งในด้านยอดขายรถยนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและแรงสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับการให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาโลกร้อน และผลักดันอนาคตแห่งยานพาหนะพลังงานสะอาด ดังที่หลายนโยบายตั้งเป้าไว้ในปี 73

แต่การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้านั้นยังมีอุปสรรคในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการสร้างความยั่งยืนให้กับวัตถุดิบแร่ธาตุ critical minerals ในการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า และการกระจายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการแข่งขัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ อุปสรรคที่จะต้องคอยเฝ้าดูกันต่อไปว่า ประเทศไทยและนานาประเทศทั่วโลกจะมีการดำเนินการแก้ไขกันอย่างไร.