บางคน..อาจหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ตีฟู” คือการเอาเรื่องๆ หนึ่งมาขยายแล้วมีความเห็นจนเกินกว่าสาระของมัน ในยุคโซเชี่ยลฯ มีบทบาทต่อการสื่อสารมากเช่นนี้ก็มี “ภาวะตีฟู”อะไรในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมากจนน่าเบื่อ เช่น กรณีภาพนายกฯ ฉุนเฉียวใส่ผู้รับผิดชอบเรื่องหมูเถื่อน บอกว่า “ผมสั่งแล้วก็ไม่ทำๆ” ก็ถูกเอามาตีฟูเรื่อง , เรื่อง สส.ก้าวไกลบางคน เรียกร้องยกเลิกเด็กจตุรมิตรขึ้นสแตนด์เชียร์ บอกว่าเป็นเรื่องของอำนาจนิยมรุ่นพี่สั่งรุ่นน้อง เป็นการกดทับ ฯลฯ ซึ่งบางทีก็น่าเบื่อว่า “จะกดทับอะไรกันนักหนา” ไอ้โน่นก็กดทับ ไอ้นี่ก็กดทับ คือใจเย็นๆ มองโลกสวยๆ บ้างว่า กิจกรรมแปรอักษรมันก็คือความภูมิใจ เพราะเป็นกิจกรรมของเด็กที่เข้าโรงเรียนชายล้วนระดับทอปได้
คิดแต่ว่าถูกกดทับ ต่อไปก็ระวังว่า ประเทศจะอยู่ในภาวะไร้ระเบียบ เด็กรุ่นใหม่โตมากับการกรอกหูเรื่องถูกกดทับๆๆๆ ก็ทำงานที่ไหนไม่ยืด ต่างก็อยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากเป็นสตาร์ทอัพ อยากมีตัวตนเป็นอินฟลูเอนเซอร์แทน แต่ชีวิตจริงจะมีผู้ประสบความสำเร็จสักกี่คน เผลอๆ สุดท้ายกลายเป็นอินฟลูฯ ตามกันเอง จ่ายเงินซื้อแอดหาชื่อเสียง ถึงขั้นสุดก็งัดความหยาบคาย ความโป๊เปลือยให้ตัวเองได้มีตัวตน
สำหรับในกระแสอินเทอร์เนตก็ตีฟูเรื่องโน่นนี่ไปเรื่อยๆ แต่กระแสในพื้นที่สื่อมวลชน ตีฟูกันแต่เรื่องเงินดิจิทัล ซึ่งสรุปว่า จะออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน เงื่อนไขการใช้..ก็เอาเป็นว่า ซื้อของโอทอปหรือห้างสรรพสินค้าในอำเภอที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ..คนที่ใช้ก็ต้องเงินเดือนไม่ถึงเจ็ดหมื่น หรือเงินเก็บไม่เกินห้าแสน นับเฉพาะเงินฝากไม่นับทรัพย์สินอื่น เมื่อสรุปเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ “รอให้ พ.ร.บ.มันออกก่อน” แล้วค่อยดูว่า อภิปรายกันอย่างไรในสภา ที่นักร้องต่างๆ ไปยื่นองค์กรอิสระ ผลของมันจะเป็นอย่างไร กว่าจะแจกได้เผลอๆ หลัง พ.ค.67 ด้วยซ้ำ .. ไปถามวนๆ วันนี้ก็ได้คำตอบวนๆ เช่น เรื่องหนี้ เรื่องผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งแทบจะเป็นสคริปต์เดิมอยู่แล้ว ..แล้วก็ตีฟูให้เรื่องมันใหญ่รายวัน ทั้งที่จริงๆ แล้ว “ประเทศไทยในช่วงรัฐบาลใหม่ มีอะไรที่ต้องสนใจอีกมาก”
ถ้าสนใจเรื่องเศรษฐกิจมาก ก็อย่าสนแต่หนี้ ไปมองด้านอื่นที่รัฐบาลตั้งใจทำ คือการดึงดูดภาคการลงทุนขนาดใหญ่เข้ามาในไทย นั่นแหละที่เขาหามาใช้หนี้ โดยในการประชุมเอเปคในช่วงกลางเดือน พ.ย.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง มีกำหนดการเข้าพบภาคเอกชนแน่นเอี๊ยด เชิญชวนเอกชนระดับโลกมาลงทุนในไทย โดย“ต้องเปิดสิทธิพิเศษบางอย่าง”ให้ เพราะในภูมิภาคนี้มีหลายประเทศที่ต้องการให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ตั้งฐานการผลิตเช่นกัน
นายกฯ ได้หารือกับผู้บริหารเทสลา บริษัทผลิตรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ไป หารือกับผู้บริหารวอลมาร์ท ( Walmart ) ห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยนายกฯ ระบุว่า ว่า วอลมาร์ทต้องการที่จะเปิดตลาดในไทยมากขึ้น จึงได้มีการพูดคุยถึงซอฟพาวเวอร์ของไทยที่เป็นอาหารพื้นเมือง ให้เข้าไปขายในวอลมาร์ท รวมทั้งอาหารฮาลาล ที่มีขายอยู่ในหลายรัฐในสหรัฐฯ และได้พบปะกับเวสเทิร์น ดิจิทัล บริษัทที่ผลิตฮาร์ดแวร์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริษัทต้องการลงทุนเพิ่มในไทย และต้องการจะย้ายฐานการผลิตจากประเทศฟิลิปปินส์ มาที่ประเทศไทย
นอกจากนั้นได้พูดคุยกับผู้บริหารบริษัท AWS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ แอมาซอน จัดทำคลาวเซอร์วิส ได้เซ็นสัญญาที่จะเข้ามาลงทุนแล้วและจะเปิดดำเนินการเร็วๆนี้เป็นศูนย์ข้อมูล ( data center ) ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เป็นบริษัทแรกที่ลงทุนแล้ว และจะลงทุนเพิ่มอีกด้วย ขณะที่การหารือกับ Google เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้มีการลงนามเอ็มโออยู่กันเรียบร้อยแล้วที่จะมาทำดาต้าเซนเตอร์ เช่นกัน
“บริษัทยักษ์ใหญ่ 3 ราย ของโลก 3 ราย ที่มาทำดาต้าเซ็นเตอร์ได้แก่ AWS ,Google และไมโครซอฟท์ ที่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ กับรัฐบาลไทย จะยกระดับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้ได้รับการยอมรับในอนาคตอันใกล้นี้ การเดินทางมาสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือว่ามีความพอใจ หลายอย่างจากที่ได้พบปะภาคเอกชนรายใหญ่ สำหรับปัจจัย ที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ เช่น คุณภาพโรงเรียน โรงพยาบาลระดับโลก นักลงทุนต่างพูดว่าเป็นความสบายใจที่จะได้มาใช้ชีวิตที่ไทย ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ไทยสามารถยืนหยัดและแข่งขันได้ในเวทีโลก เป็นความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทยและจะทำงานต่อไป ผมได้สั่งให้ทีมงานสรุปแผนการชักชวนนักลงทุนต่างชาติในรอบ 3 เดือน ว่านักลงทุนรายใดลงทุนแล้ว ใครอยู่ลำดับไหน ใครเพิ่งจีบกัน หรือใครได้ชวนไปดูหนังแล้ว แต่ไม่อยากพูดถึงผลงาน หรือการตัดเกรดการทำงานของตัวเอง ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ส่วนหน้าที่ของผมคือตื่นเช้าไปทำงาน”นายเศรษฐา กล่าว
คืออ่านข่าวแบบนี้ให้มีความหวังกับประเทศชาติบ้าง ..ไม่ใช่ตีฟูอยู่แค่เรื่องการถูกกดทับ ตีฟูอยู่แค่เรื่องแจกเงินดิจิทัล ซึ่งกว่าจะได้ก็กลางปีหน้า พยายามวิจารณ์ไปมันก็สาละวันเตี้ยลงอยู่ในอ่าง ฝั่งหนึ่งก็ท่องคาถาต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้จีดีพีโต ฝั่งหนึ่งก็ท่องคาถาหนี้สาธารณะสูงขึ้น ..เรามาดูการกระตุ้นการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนดู จะได้รู้สึกมีความหวัง รัฐบาลจะตั้งผู้แทนการค้าตั้ง 5 คน รอดูการทำงานก็ได้ เรามาดูเรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งน่าสนใจด้วยซ้ำว่า รัฐบาลจะช่วยหนุนการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างไร ..ส่วนกรณีจะให้ตำรวจจีนมาลาดตระเวนร่วมกับตำรวจไทยนั้น ไม่รู้คุยกันอีท่าไหน สุดท้ายผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ( ททท.) ออกมาขอโทษบอกว่าเข้าใจผิด..ซึ่งก็ดีแล้วที่ไม่บ้าจี้ทำ เพราะเท่ากับยอมให้รุกล้ำอธิปไตยไทยเลยทีเดียว..ในภาวะที่บางพื้นที่จะเป็นมณฑลไท่กั๋วอยู่แล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่เราควรจะหยิบมาตีฟู คือ “อาชญากรเยาวชน” สิ่งที่น่าตกใจคือ เรื่องการก่อความรุนแรงโดยเยาวชนมีเยอะมากขึ้น ที่สะเทือนขวัญที่สุดน่าจะเป็นกรณีเด็กกราดยิงในห้างสรรพสินค้าพารากอน ซึ่งไม่ทราบว่า เด็กรายนี้ออกจากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์เพื่อประเมินสภาพจิต ไปเข้าสถานพินิจแล้วหรือไม่ …และในช่วงต่อมา ก็มีเหตุเกิดขึ้นทั่วไป อาทิ ที่ จ.ลำปาง เด็กชายสองรายถูกยิง บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตทันที ผู้ก่อเหตุคือ นายไผ่ อายุ 19 ปี และนายปอนด์ อายุ 20 ปี ใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ สาเหตุก็อารมณ์ประมาณเขม่นกัน
เร็วๆ นี้ ที่พื้นที่ สน.ประเวศ มีเด็ก 15 ปี ถูกยิงด้วยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่คิ้วซ้าย ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกลุ่มแกงค์ มีเอาคืนกันถึงขนาดปาระเบิดใส่บ้านกัน และที่สะเทือนขวัญอีกเรื่อง คือ กลุ่มนักเรียนช่างกลทะเลาะวิวาทกันแถวคลองเตย กระสุนลูกหลงไปถูกครูสอนวิชาคอมพิวเตอร์ที่มากดเงินที่ธนาคารเสียชีวิต ..และจริงๆ ก็มีเหตุรุนแรงที่เกิดจากเยาวชนก่อเหตุเรื่องอื่นๆ อีก …ไม่ทราบว่า พรรคที่เรียกร้องให้เยาวชนเป็นขบถนี่มีความเห็นต่อการแก้ปัญหาเยาวชนเลวพวกนี้อย่างไรบ้าง นอกจากย้ำเรื่องแผลกดทับไปวันๆ ..ส่วนรัฐบาล ทางกระทรวงมหาดไทยจะออกกฎการควบคุมห้ามพกปืน ซึ่งฟังดูแล้วก็น่าขำ ..ใครมันจะพกปืนโชว์ ? เขาซ่อนเอาทั้งนั้น หรือถ้าไม่ใช้ปืนเยาวชนบางคนก็ทำระเบิดไทยประดิษฐ์ได้ หรือใช้มีดดาบได้ถ้ามันจะก่อเหตุรุนแรง
มันควรจะตีฟูกันให้หนักๆ หรือยังเรื่องของการ “เพิ่มโทษเยาวชนตามลักษณะความผิด” ไม่ใช่เอาคำว่าเยาวชนมาเป็นโล่กำบังไม่ให้ติดตะราง ต้องปิดหน้าปิดตาไม่ให้รู้ว่า นี่คือพวกฆาตกร .. ในอังกฤษ คดีคลาสสิคที่สุดคือคดีปี 1993 เด็กชายจอห์น เวนาเบิลส์ และเด็กชายโรเบิร์ต ธอมป์สัน เด็กวัยสิบกว่าขวบ ถูกจับกุมในคดีล่อลวงเด็กชายเจมส์ บัลเกอร์ วัย 2 ขวบออกจากห้างสรรพสินค้าไปฆ่าทรมาน …ลองเอาชื่อไปเสิร์ชดูในกูเกิ้ล ก็พบว่า “ขนาดเด็กยังเปิดเผยหน้า” ..เช่นนี้แล้วถ้าคดีมันอุกฉกรรจ์มาก ..แต่เรื่องการเติบโตของสิทธิมนุษยชนและการให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีก็ตื่นตัวกันมากในยุคนี้ แล้วจะใช้วิธีไหนปราบเยาวชนเหลือขอให้ได้ผลที่สุด ไม่ให้ก่อเรื่อง ?
ปัจจัยเด็กและเยาวชนจะเป็นฆาตกรได้ มันมีหลายอย่าง ทั้งพื้นฐานการใช้ความรุนแรงในครอบครัว การอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ใช้ความรุนแรง การเรียนการสอนที่ไม่มีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมเพียงพอ การกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน …แต่ถ้าเป็นกรณีเด็กช่าง ก็มีเรื่องของวิธีคิดขึ้นมาอีก ได้ยินมาว่า เด็กช่างตีกันจะเอาหัวเข็มขัดนี่เพราะถูกรุ่นพี่ปั่นหัวว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี บ้างก็ว่า ที่ตีกันมันเป็นคนละช่าง คือ ช่างกลกับช่างก่อสร้างตีกัน เพราะนับถือพระวิษณุกรรมคนละสี หรืออาจเป็นแนวคิดโชว์แมนแบบเด็กช่างก็ได้ แล้วตอนนี้หนังเรื่อง 4 kings 2 กำลังจะเข้า มันมีผลไปกระตุ้นต่อมบ้าเด็กช่างขึ้นมาหรือเปล่า …บางเรื่องมันกลายเป็นตัวแปรแบบนึกไม่ถึง
หน่วยงานที่รับผิดชอบสำนักงานอาชีวศึกษา คือกระทรวงศึกษาธิการ แต่โทษทีเถอะว่า “จนถึงตอนนี้เชื่อว่าคนไทยเกือบครึ่งประเทศไม่รู้ว่าใคร รมว.และ รมช.ศึกษาธิการ” เพราะเงียบฉึ่งเหลือเกิน เจอนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ถือโควตากระทรวงศึกษาและอุดมศึกษาอยู่ ตอบเรื่องการลดความรุนแรงและให้นักเรียนอยู่ในระเบียบวินัยมากขึ้น ทำนองว่า จะรื้อหลักสูตรประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และจริยธรรมศึกษา มาเรียน ปลูกฝังเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา
ก็เห็นมีคนหัวเราะอยู่ว่า จะรื้อวิชาประวัติศาสตร์จะช่วยห้ามเยาวชนก่อความรุนแรงได้เหรอ เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยเป็นประวัติศาสตร์ที่สอนเรื่องสงครามเยอะ เสียกรุงครั้งที่ 2 เยอะที่สุด เสียกรุงครั้งที่ 1 รองลงมา แล้วยังมีสงครามอื่นๆ อีก ประวัติศาสตร์ช่วงอยุธยาก็มีการใช้ความรุนแรงเพื่อได้มาซึ่งอำนาจ ..แถมเผลอๆ ไปย้ำแนวคิด “ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์” ปลุกใจให้ฮึกเหิมรบอีกฝ่ายให้ชนะจะได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็น the winner ..แล้วประวัติศาสตร์แนวไหนที่จะสอน ? สอนอาชญาวิทยาดีกว่าไหม ? แนวๆ สาเหตุของความรุนแรง ผลของความรุนแรงทั้งต่อเหยื่อและผลกระทบด้านลบของผู้กระทำ ให้กลัวการใช้ความรุนแรงกันตั้งแต่เด็ก
จริยธรรมศึกษา อันนี้น่าจะมาชำระหลักสูตรโดยฝ่ายต่างๆ กัน ..จริยธรรมต้องไม่ใช่การสอนว่า แบบไหนถึงเป็นคนดีๆ อันนั้นสอนในพวกชั้นประถมได้ แต่เมื่อถึงชั้นมัธยมน่าจะสอนเรื่องการคิดแบบวิพากษ์ ว่า “ในสถานการณ์หนึ่ง เราควรยึดหลักการตัดสินทางจริยธรรมอย่างไร ?” ให้เกิดการถกเถียงและเพิ่มความสามารถทางอารมณ์ของผู้เรียน ส่วนวิชาหน้าที่พลเมืองนั้น ถ้าจะสอนอยากให้กางหลักสูตรมาพูดกันว่า “สิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อประเทศชาติคืออะไร” เช่น การไม่เลี่ยงภาษี การมีความตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตย การตรวจสอบการใช้อำนาจ ไม่ใช่เป็นหลักสูตรแบบยัดๆๆให้เชื่อ
จริงๆ ช่วงนี้ ก็มีหลายเรื่องที่น่าตีฟูกว่าดิจิทัลวอลเลต เรื่องแจกหมื่นนั้นถึงวาระที่มันต้องพูดถึงอีกครั้งค่อยพูดก็ได้
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”